ในสภาวะโรคหอบหืดกำเริบ ทางเดินหายใจ(หลอดลม)จะแคบลง จากการที่มีกล้ามเนื้อหลอดลมหดเกร็ง การอักเสบ(บวม)และเสมหะในหลอดลม ทางเดินหายใจที่แคบลงทำให้เกิดปัญหาในการหายใจ มีเสียงหวีดและไอ ยา corticosteroids ชนิดดูด จัดเป็นยามาตรฐานในการลดการอักเสบของทางเดินหายใจในผู้ใหญ่และเด็กที่เป็นโรคหอบหืด Anti-leukotrienes (5-lipoxygenase inhibitors และ leukotriene receptors antagonists) เป็นยาต้านการอักเสบที่อาจมีผลข้างเคียงน้อยกว่ายา corticosteroids ชนิดดูด การทบทวนวรรณกรรมแสดงเป็นนัยว่า สารต่อต้าน leukotrienes มีความปลอดภัย แต่มีประสิทธิภาพต่ำกว่ายา corticosteroids ชนิดดูดปริมาณยาต่ำ
เมื่อใช้เป็นยาชนิดเดียวในการรักษา ยา corticosteroids ชนิดดูด (ICS) มีประสิทธิภาพสูงกว่าสารต่อต้าน leukotrienes (anti-leukotrienes) ในผู้ป่วยโรคหอบหืดเรื้อรังทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะเห็นได้ชัดเจนในผู้ป่วยที่มีการอุดกั้นทางเดินหายใจในระดับปานกลาง จากประสิทธิภาพผลลัพธ์ดังกล่าวสนับสนุนคำแนะนำของแนวทางการรักษาในปัจจุบันที่ยังคงแนะนำว่าเมื่อใช้ยาชนิดเดียวในการรักษาควรใช้ยา corticosteroids ชนิดดูด
Anti-leukotrienes (5-lipoxygenase inhibitors และ leukotriene receptors antagonists) อาจเป็นทางเลือกที่จะใช้เป็นยาชนิดเดียวแทน corticosteroids ชนิดดูด (ICS: inhaled corticosteroids) ในการรักษาโรคหอบหืดกำเริบและ/หรือเรื้อรังในผู้ใหญ่และเด็ก
เพื่อตรวจสอบความปลอดภัยและประสิทธิภาพของสารต่อต้าน leukotrienes (anti-leukotrienes) เทียบกับยา corticosteroids ชนิดดูด (ICS) เมื่อใช้เป็นยาชนิดเดียวเพื่อรักษาโรคหอบหืดผู้ใหญ่และเด็ก และเพื่อให้เข้าใจถึงอิทธิพลของลักษณะของผู้ป่วยและวิธีการรักษาต่อขนาดของผลลัพธ์
เราสืบค้น MEDLINE (1966 ถึงธันวาคม 2010), EMBASE (1980 ถึงธันวาคม 2010), CINAHL (1982 ถึงธันวาคม 2010), ทะเบียนงานศึกษาวิจัยของ Cochrane Airways Group และ Cochrane Central Register of Controlled Trials (ธันวาคม 2010), หนังสือบทคัดย่อและรายการอ้างอิงของการศึกษาทั้งชนิดทบทวนและทดลอง เราติดต่อเพื่อนร่วมงานและสำนักงานใหญ่ระหว่างประเทศของผู้ผลิตสารต่อต้าน leukotrienes
เราได้รวบรวมการทดลองแบบสุ่มซึ่งเปรียบเทียบสารต่อต้าน leukotrienes กับยา corticosteroids ชนิดดูด ที่ใช้เป็นยาชนิดเดียวในการรักษาผู้ป่วยโรคหอบหืดที่มีอายุตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป เป็นระยะเวลาอย่างน้อยสี่สัปดาห์
ผู้เขียนสองคนทำงานอย่างอิสระ ในการประเมินคุณภาพของระเบียบวิธีวิจัยและรวบรวมข้อมูลจากงานวิจัย ผลลัพธ์หลักคือจำนวนผู้ป่วยที่มีอาการกำเริบจนต้องใช้ยา corticosteroids ชนิดกินหรือฉีด (systemic corticosteroids) อย่างน้อยหนึ่งครั้ง ผลลัพธ์รอง ได้แก่ จำนวนผู้ป่วยที่มีอาการกำเริบจนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล การทดสอบสมรรถภาพปอด ดัชนีการควบคุมโรคหอบหืดเรื้อรัง ผลข้างเคียง อัตราการถอนตัวและตัวบ่งชี้การอักเสบทางชีวภาพ
มีการศึกษาทดลอง 65 การศึกษา ที่ตรงตามเกณฑ์คัดเข้าของการทบทวนนี้ การศึกษาทดลอง 56 การศึกษา (เป็นการศึกษาทดลองในเด็ก 19 การศึกษา) ถูกนำข้อมูลมาใช้ (เป็นผู้ใหญ่ 10,005 คนและเด็ก 3,333 คน) โดยที่การศึกษาทดลอง 21 การศึกษามีระเบียบวิธีวิจัยคุณภาพสูง และได้รับการตีพิมพ์เต็มรูปแบบ 44 การศึกษา การศึกษาทดลองทั้งหมดเป็นการศึกษาผู้ป่วยโรคหอบหืดที่อาการไม่รุนแรงหรืออาการปานกลาง ระยะเวลาศึกษาอยู่ระหว่าง 4 ถึง 52 สัปดาห์ ขนาดเฉลี่ยของยา corticosteroids ชนิดดูดนั้นค่อนข้างคล้ายคลึงกันคือ 200 ไมโครกรัม/วันของ beclomethasone หรือเทียบเท่า ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยสารต่อต้าน leukotrienes มีแนวโน้มที่จะมีอาการกำเริบที่ต้องใช้ยา corticosteroids ชนิดกินหรือฉีด (ผู้เข้าร่วม N = 6077; อัตราส่วนความเสี่ยง (RR: risk ratio) 1.51, ช่วงความเชื่อมั่น 95% (CI) 1.17, 1.96) ทุกๆผู้ป่วย 28 (95% CI 15 ถึง 82) ราย ที่ได้รับการรักษาด้วยสารต่อต้าน leukotrienes แทนที่จะใช้ยา corticosteroids ชนิดดูด ทำให้มีผู้ป่วยอาการกำเริบจนต้องใช้ยา corticosteroids ชนิดกินหรือฉีด เพิ่มขึ้น 1 ราย ขนาดของผลกระทบ (magnitude of effect) สูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญในผู้ป่วยที่มีอาการปานกลางเมื่อเทียบกับผู้ที่มีการอุดกั้นทางเดินหายใจเล็กน้อย (RR 2.03, 95% CI 1.41, 2.91 เทียบกับ RR 1.25, 95% CI 0.97, 1.61) แต่ไม่มีอิทธิพลอย่างมีนัยสำคัญเมื่อพิจารณาตาม กลุ่มอายุ (เด็กคิดเป็นขนาด 23% เทียบกับ ผู้ใหญ่) สารต่อต้าน leukotriene ที่ใช้ ระยะเวลาของรักษา คุณภาพระเบียบวิธีวิจัยและแหล่งเงินทุน มีแนวโน้มที่สังเกตได้ในผลลัพธ์รองส่วนใหญ่ว่า กลุ่มผู้ป่วยที่ได้ยา corticosteroids ชนิดดูด จะได้ผลดีกว่ากลุ่มใช้สารต่อต้าน leukotrienes อย่างมีนัยสำคัญ เช่น กลุ่มใช้สารต่อต้าน leukotrienes มีผู้ป่วยที่มีอาการกำเริบอย่างน้อยหนึ่งครั้งที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลมากกว่า (N = 2715 คน; RR 3.33; 95% CI 1.02 ถึง 10.94) และดีกว่าในการเปลี่ยนแปลงของ FEV 1 จากเริ่มต้น (N = 7128 ผู้เข้าร่วม ; ค่าเฉลี่ยความแตกต่างของกลุ่ม (MD: mean group difference) 110 มล., 95% CI 140 ถึง 80) เช่นเดียวกับพารามิเตอร์การทำงานของปอดอื่น ๆ อาการของโรคหอบหืด การตื่นนอนตอนกลางคืน การใช้ยาฉุกเฉิน จำนวนวันที่ไม่มีอาการ คุณภาพชีวิต ความพึงพอใจของพ่อแม่และแพทย์ การรักษาด้วยสารต่อต้าน leukotriene มีความสัมพันธ์กับการเพิ่มขึ้นของการถอนจากการศึกษาเนื่องจากควบคุมโรคหอบหืดไม่ดี (N = 7669 ผู้เข้าร่วม RR 2.56; 95% CI 2.01 ถึง 3.27) ทุกๆผู้ป่วย 31 (95% CI 22 ถึง 47) ราย ที่ได้รับการรักษาด้วยสารต่อต้าน leukotrienes แทนที่จะใช้ยา corticosteroids ชนิดดูด ทำให้มีผู้ป่วยถอนตัวจากการศึกษา เพิ่มขึ้น 1 ราย ความเสี่ยงของผลข้างเคียงไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญระหว่างทั้งสองกลุ่ม
แปลโดย นายแพทย์โยธี ทองเป็นใหญ่ หน่วยโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา Dr. Yothi Tongpenyai; Jan 31, 2021