วิธีการเพื่อป้องกันความผิดปกติของเสียงในผู้ใหญ่

บุคคลในอาชีพที่ต้องใช้เสียงเป็นหลัก เช่น ครู มีความเสี่ยงต่อการเกิดความผิดปกติของเสียงมากกว่า ความหมายของความผิดปกติของเสียงและสาเหตุที่เป็นไปได้รวมถึงวิธีการป้องกันที่ดีที่สุดยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ นอกจากนี้ยังไม่มีข้อตกลงว่าวิธีใดที่ดีที่สุดในการประเมินเสียง แม้ว่าหลายคนจะถือว่าการประเมินคุณภาพเสียง (โดยที่ผู้ตัดสินผู้เชี่ยวชาญจะฟังการบันทึกเสียงของผู้เข้าร่วมและตัดสินระดับความผิดปกติของเสียงด้วยตนเอง) เป็นมาตรฐานการวัดผลก็ตาม การฝึกเสียงใช้เพื่อป้องกันความผิดปกติของเสียง การฝึกเสียงมักประกอบด้วยเทคนิคการรักษาแบบ 'โดยตรง' และ 'โดยอ้อม' ร่วมกัน เทคนิคการรักษาโดยตรงมุ่งเน้นไปที่การเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาพื้นฐานที่จำเป็นต่อการปรับปรุงเทคนิคของแต่ละบุคคลในการใช้ระบบเสียง และอาจมีจุดมุ่งหมายเพื่อเปลี่ยนแปลงการปิดสายเสียง (การหดสายเสียงเข้า) รูปแบบการหายใจหรือการสั่นพ้อง ระดับเสียงหรือความตึงของการออกเสียง ในทางปฏิบัติ หมายถึง การฝึกฝนเรื่องการวางท่าทางที่ถูกต้อง เทคนิคการหายใจ และการทำเสียงต่างๆ เช่น การฮัมเพลง การร้องเพลงตามจังหวะดนตรี หรือการหาว ในทางกลับกัน เทคนิคการรักษาทางอ้อมจะมุ่งเน้นไปที่การสนับสนุนและการรักษาความผิดปกติของเสียง และอาจเกี่ยวข้องกับกลยุทธ์การผ่อนคลาย การให้คำปรึกษา การอธิบายกายวิภาคและสรีรวิทยาปกติของบริเวณเสียง การอธิบายปัจจัยที่ทำให้เกิดความผิดปกติของเสียง และการดูแลและการอนุรักษ์เสียง

เราดำเนินการค้นคว้าวรรณกรรมอย่างเป็นระบบเกี่ยวกับการป้องกันความผิดปกติของเสียงในผู้ใหญ่ จากนั้นเราจึงประเมินคุณภาพของการศึกษาที่พบและรวมผลลัพธ์เหล่านั้นเข้าด้วยกัน เราพบการศึกษาวิจัย 6 ฉบับที่ตรงตามเกณฑ์การคัดเลือกของเรา การศึกษา 4 ฉบับดำเนินการในครู 1 ฉบับดำเนินการในนักศึกษาฝึกสอน และ 1 ฉบับดำเนินการในนักขายทางโทรศัพท์

เราไม่พบหลักฐานใดๆ ว่าการฝึกเสียงโดยตรงหรือโดยอ้อมหรือทั้ง 2 วิธีร่วมกันจะมีประสิทธิผลในการช่วยให้การทำงานของเสียงดีขึ้นเมื่อวัดโดยใช้ผลลัพธ์ที่รายงานด้วยตนเอง และเมื่อเปรียบเทียบกับการไม่มีการแทรกแซงด้วยวิธีการใดๆ

การศึกษาที่รวบรวมมาทั้งหมดมีขนาดเล็กและมีคุณภาพเชิงวิธีการวิจัยต่ำ เมื่อพิจารณาถึงขอบเขตของปัญหาและการใช้การฝึกเสียงอย่างแพร่หลาย การวิจัยเพิ่มเติมจึงมีความจำเป็น

ข้อสรุปของผู้วิจัย: 

เราไม่พบหลักฐานใดๆ ว่าการฝึกเสียงโดยตรงหรือโดยอ้อมหรือทั้ง 2 วิธีร่วมกันมีประสิทธิผลในการปรับปรุงการทำงานของเสียงที่รายงานด้วยตนเองเมื่อเปรียบเทียบกับการไม่มีการแทรกแซงด้วยวิธีการใด แนวทางปฏิบัติปัจจุบันในการให้การฝึกอบรมแก่ประชากรกลุ่มเสี่ยงเพื่อป้องกันการเกิดความผิดปกติของเสียงจึงไม่ได้รับการสนับสนุนด้วยหลักฐานที่ชัดเจนว่ามีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องมีการทดลองที่ใหญ่กว่าและมีระเบียบวิธีวิจัยที่ดีขึ้น โดยมีการวัดผลลัพธ์ที่สะท้อนถึงจุดมุ่งหมายของวิธีการที่ใช้ (interventions) ได้ดีขึ้น

อ่านบทคัดย่อฉบับเต็ม
บทนำ: 

นี่คือการอัปเดต Cochrane Review ที่เผยแพร่ครั้งแรกใน The Cochrane Library ในฉบับที่ 4 ปี 2007

คุณภาพเสียงที่ไม่ดีอันเนื่องมาจากความผิดปกติของเสียงอาจส่งผลให้คุณภาพชีวิตลดลง ในอาชีพที่มีการใช้เสียงมาก อาจทำให้ต้องขาดงานเป็นช่วงๆ ได้

วัตถุประสงค์: 

เพื่อประเมินประสิทธิผลของวิธีการที่ใช้เพื่อป้องกันความผิดปกติของเสียงในผู้ใหญ่

วิธีการสืบค้น: 

เราค้นหาฐานข้อมูลต่างๆ รวมถึง CENTRAL, MEDLINE, EMBASE, CINAHL, PsycINFO และ OSH Update ถึงเดือนมีนาคม 2010

เกณฑ์การคัดเลือก: 

การทดลองทางคลินิกแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุม (randomised controlled clinical trials; RCT) ประเมินวิธีการที่ใช้เพื่อป้องกันความผิดปกติของเสียงในผู้ใหญ่ สำหรับวิธีการที่มุ่งเน้นไปที่การทำงาน (work-directed interventions) การศึกษาแบบ interrupted time-series และ prospective cohort จึงตรงตามเกณฑ์การคัดเข้าเช่นกัน

การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล: 

ผู้ทบทวนวรรณกรรม 2 คน ดึงข้อมูล และประเมินความเสี่ยงของการมีอคติ อย่างเป็นอิสระต่อกัน เราดำเนินการวิเคราะห์เมตต้า (meta-analysis) เมื่อเหมาะสม

ผลการวิจัย: 

เราพบการทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุมจำนวน 6 ฉบับ ซึ่งมีผู้เข้าร่วมทั้งหมด 262 ราย มีการศึกษาทั้งหมด 4 ฉบับศึกษาในครูระดับประถมศึกษาหรืออนุบาล มีการศึกษา 1 ฉบับศึกษาในครูฝึกสอน และ 1 ฉบับศึกษาในนักขายผ่านทางโทรศัพท์ (telemarketers)

การศึกษา 3 ฉบับ พบอาการทางเสียงที่รายงานด้วยตนเองคล้ายกันระหว่างผู้ที่เข้าร่วมการฝึกเสียงโดยตรงและผู้ที่อยู่ในกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับการแทรกแซงจากวิธีการใด (ค่าความแตกต่างเฉลี่ยมาตรฐาน (SMD) 0.27; ช่วง CI 95% -0.12 ถึง 0.66)

การศึกษา 2 ฉบับ พบอาการทางเสียงที่รายงานด้วยตนเองคล้ายกันระหว่างผู้ที่เข้าร่วมการฝึกเสียงทางอ้อมกับผู้ที่อยู่ในกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับการแทรกแซงจากวิธีการใด (SMD 0.44; 95% CI -0.03 ถึง 0.92)

การศึกษา 1 ฉบับ พบคะแนนที่คล้ายคลึงกันในดัชนีความพิการของเสียงสำหรับผู้ที่ได้รับการฝึกเสียงโดยตรงและโดยอ้อมร่วมกัน และสำหรับผู้ที่ไม่ได้รับการแทรกแซงจากวิธีการใด การศึกษา 2 ฉบับ ได้เปรียบเทียบการผสมผสานระหว่างการฝึกเสียงโดยตรงและทางอ้อมเทียบกับการฝึกเสียงทางอ้อมเพียงอย่างเดียว การศึกษาทั้ง 2 ฉบับ พบคะแนนที่คล้ายคลึงกันสำหรับความยากในการออกเสียงที่รายงานด้วยตนเอง (ความแตกต่างเฉลี่ย -5.55; 95% CI -23.75 ถึง 12.66) ในทั้ง 2 กลุ่ม

หลักฐานสำหรับการเปรียบเทียบทั้งหมดได้รับการจัดอันดับว่ามีคุณภาพต่ำ

ไม่พบการศึกษาเชิงมุ่งเน้นไปที่งาน ไม่มีการศึกษาใดที่ประเมินประสิทธิผลของการป้องกันในแง่ของการลาป่วยหรือจำนวนความผิดปกติของเสียงที่ได้รับการวินิจฉัย

บันทึกการแปล: 

ผู้แปล แพทย์หญิงชุติมา ชุณหะวิจิตร วันที่ 14 พฤศจิกายน 2024

Tools
Information