วิธีการรักษาเพื่อจัดการพังผืดใต้เยื่อเมือกในช่องปาก

คำถามของการทบทวนวรรณกรรม

การรักษาแบบใดที่มีประสิทธิภาพในการปรับปรุงอาการที่เกี่ยวข้องกับการเกิดพังผืดใต้ผิวหนังในช่องปาก

ใจความสำคัญ

– ผลลัพธ์โดยรวมถูกรวมกันใว้ แต่ตัวบ่งชี้ว่าการใช้ยาต้านอนุมูลอิสระอาจมีประโยชน์ในการรักษาอาการอ้าปากที่ถูกจำกัด และมีแนวโน้มที่จะช่วยบรรเทาอาการแสบร้อนในปากได้ดีขึ้น ซึ่งเกิดในผู้ที่เป็นโรคพังผืดใต้เยื่อเมือกในช่องปาก

พังผืดใต้เยื่อเมือกในช่องปากคืออะไร

โรคพังผืดใต้เยื่อเมือกในช่องปากเป็นโรคที่เป็นสาเหตุทำให้แก้มและปากตึงขึ้น ผู้ที่มีอาการนี้มักมีอาการปวดแสบร้อนในปากเรื้อรัง ปัญหาเหล่านี้ทำให้การกิน การพูด และการกลืนทำได้ยากขึ้น มียาหลายชนิดที่แนะนำเพื่อจัดการกับอาการนี้ และอาจรับประทานทางปาก (ทั่วร่างกาย) ใช้บนพื้นผิวเฉพาะที่ (เฉพาะจุด) หรือฉีดโดยตรงไปยังบริเวณที่ได้รับผลกระทบ มีรูปแบบการผ่าตัดหรือกายภาพบำบัดหลายรูปแบบให้เลือก

เราต้องการทราบอะไร

เราต้องการทราบว่าการรักษาใดมีประสิทธิภาพในการปรับปรุงอาการของโรคพังผืดใต้เยื่อเมือกในช่องปาก และการรักษาใดมีประสิทธิภาพมากที่สุด เรายังต้องการทราบว่าความเสี่ยงและผลข้างเคียงของการรักษาแต่ละอย่างอาจมีอะไรบ้าง และอาการเหล่านี้เกิดขึ้นได้บ่อยเพียงใด

เราทำอะไรไปแล้วบ้าง

เราค้นหาฐานข้อมูลวารสารทางการแพทย์และทันตกรรมและการวิจัยเชิงทดลอง เราเลือกเฉพาะการทดลองที่เรียกว่าการทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุม ในการทดลองประเภทนี้ ผู้เข้าร่วมจะได้รับการจัดเข้ากลุ่มแบบสุ่ม กลุ่มหนึ่งได้รับวิธีการรักษาและอีกกลุ่มหนึ่งได้รับการรักษาที่แตกต่างกันหรือไม่ได้รับการรักษาเลย การทดลองเหล่านี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดอคติในการทดลองทางคลินิก

เราต้องการมุ่งเน้นไปที่ประสิทธิภาพของการรักษาที่ดีเพื่อให้ผู้ที่เป็นโรคพังผืดใต้เยื่อเมือกในช่องปากสามารถกลับมารับประทานอาหาร เคี้ยว และพูดได้ตามปกติ เนื่องจากไม่มีการทดลองใดพิจารณาวิธีการเหล่านี้ เราจึงเลือกการอ้าปากที่กว้างขึ้น (วัดเป็นมิลลิเมตรระหว่างฟันหน้าบนและล่าง) และการลดอาการแสบร้อนในช่องปาก (วัดจากระดับ 0 ถึง 100) เป็นสิ่งที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดในการปรับปรุงคุณภาพชีวิตในผู้ที่เป็นโรคพังผืดใต้เยื่อเมือกในช่องปาก เราค้นหารายละเอียดของวิธีการเหล่านี้ ทันทีหลังการรักษา (ไม่เกิน 3 เดือน) ในระยะกลาง (3 ถึง 6 เดือน) และในระยะยาว (หลัง 6 เดือน) นอกจากนี้เรายังค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับ 'ผลข้างเคียง' ใดๆ (ผลข้างเคียงเชิงลบของการรักษา)

ผู้วิจัยค้นพบอะไรบ้าง

เราพบการทดลองที่เกี่ยวข้อง 30 ฉบับ การทดลองส่วนใหญ่พิจารณาการรักษาที่แตกต่างกันซึ่งแต่ละวิธีได้ผลที่แตกต่างกัน การทดลองจำนวนมากเปรียบเทียบวิธีการรักษาแต่ละประเภทที่แตกต่างกัน เราตัดสินใจว่าการทดลองที่เปรียบเทียบหนึ่งวิธีการรักษากับไม่มีการรักษาใดที่ออกฤทธิ์มีความสำคัญมากที่สุด เนื่องจากเราไม่ทราบแน่ชัดว่าวิธีการรักษาใดได้ผลจริง

ผลลัพธ์บอกเราว่ายาต้านอนุมูลอิสระ (ที่เก็บกวาดและทำให้เป็นกลางอนุภาคที่ไม่เสถียรที่เป็นรูปแบบตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นระหว่างการเผาผลาญหรือการสัมผัสกับสารพิษจากสิ่งแวดล้อม) การรับประทานอาจช่วยให้การอ้าปากดีขึ้นเล็กน้อยนานถึงหกเดือนหลังการรักษา แต่เราไม่แน่ใจว่าผลลัพธ์นี้คงอยู่นานกว่า 6 เดือน สารต้านอนุมูลอิสระยังอาจลดอาการแสบร้อนในปากได้นานกว่า 6 เดือนหลังการรักษา และเราคิดว่านี่อาจเป็นการพัฒนาที่สำคัญสำหรับผู้ที่เป็นโรคพังผืดใต้เยื่อเมือกในช่องปาก

หลักฐานสำหรับการรักษาอื่นๆ ที่เราพิจารณามีความไม่แน่นอนอย่างมาก

ครึ่งหนึ่งของการทดลองรายงานผลข้างเคียงหรือผลที่อาจเป็นอันตรายอื่นๆ ของการรักษา ดังนั้นจึงเป็นการยากที่จะพูดอย่างมั่นใจว่าการรักษาใดมีความปลอดภัยเพียงใด

ข้อจำกัดของหลักฐานคืออะไร

เรามีความมั่นใจปานกลางว่าสารต้านอนุมูลอิสระช่วยในการรักษาภาวะพังผืดใต้เยื่อเมือกในช่องปาก แต่มีความมั่นใจเพียงเล็กน้อยในหลักฐานอื่นๆ เนื่องจากการทดลองจำนวนมากมีข้อจำกัดในการออกแบบการทดลอง

การค้นหามีความเป็นปัจจุบันเพียงใด

เราค้นหาการทดลองจนถึงวันที่ 5 กันยายน 2022

ข้อสรุปของผู้วิจัย: 

เราพบหลักฐานที่มีความเชื่อมั่นปานกลางว่าสารต้านอนุมูลอิสระที่ออกฤทธิ์ทั่วร่างกายอาจปรับปรุงแก้ไขการอ้าปากได้เล็กน้อยที่ 3 ถึง 6 เดือน และปรับปรุงความรู้สึกแสบร้อนด้วย คะแนน VAS สูงสุดที่มากกว่า 6 เดือน เราพบแค่หลักฐานที่มีความเชื่อมั่นต่ำ/ต่ำมากสำหรับการเปรียบเทียบและผลลัพธ์อื่นๆ ทั้งหมด มีหลักฐานไม่เพียงพอที่จะตัดสินเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการรักษาเหล่านี้ มีหลักฐานไม่เพียงพอที่จะสนับสนุนหรือหักล้างประสิทธิภาพของวิธีการรักษาอื่นๆ ที่ทดสอบ

จำเป็นต้องมีการทดลองวิธีการรักษาที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอคติที่ต่ำที่เปรียบเทียบการรักษาทางชีวภาพเชิงเป็นเหตุเป็นผลของ OSF สิ่งสำคัญคือผลลัพธ์ที่รายงานที่เกี่ยวโยงต่อตัวผู้เข้าร่วมควรถูกประเมิน

อ่านบทคัดย่อฉบับเต็ม
บทนำ: 

พังผืดใต้เยื่อเมือกในช่องปาก (Oral submucous fibrosis; OSF) เป็นโรคเรื้อรังของช่องปากที่ทำให้เกิดการหดเกร็งตัวของแก้มและปาก มาพร้อมกับความเจ็บปวดอย่างรุนแรงและการอ้าปากได้ลดลง OSF มีผลกระทบอย่างมากต่อการกินและการกลืน ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพชีวิต มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นที่จะเป็นมะเร็งช่องปากในผู้ที่เป็น OSF ปัจจัยเสี่ยงหลักของ OSF คือการเคี้ยวหมาก และหัวใจของการรักษาคือวิธีการทางพฤติกรรมเพื่อส่งเสริมการเลิกนิสัยที่ควรเลิก บททบทวนวรรณกรรมนี้เป็นการอัปเดตเวอร์ชันที่เผยแพร่ครั้งล่าสุดในปี 2008

วัตถุประสงค์: 

เพื่อประเมินประโยชน์และผลเสียของวิธีการในการจัดการภาวะพังผืดใต้เยื่อเมือกในช่องปาก

วิธีการสืบค้น: 

เราใช้วิธีการค้นหาแบบมาตรฐานและครอบคลุม ของ Cochrane วันที่ค้นหาล่าสุดคือ 5 กันยายน 2022

เกณฑ์การคัดเลือก: 

เราพิจารณาการทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุม (RCTs) ในผู้ใหญ่ที่มีการวินิจฉัยที่ได้รับการยืนยันจากการตรวจชิ้นเนื้อของ OSF ที่รักษาตามระบบ ยาที่ใช้เฉพาะที่หรือยาทาในปริมาณใดๆ ระยะเวลาหรือวิธีการนำส่ง โดยเปรียบเทียบกับยาหลอกหรือเทียบกันเอง เราพิจารณาวิธีการผ่าตัดเปรียบเทียบกับการรักษาอื่นๆ หรือไม่มีการรักษาใดๆ นอกจากนี้เรายังพิจารณาวิธีการอื่นๆ เช่น กายภาพบำบัด อัลตราซาวนด์ หรือการรักษาทางเลือก

การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล: 

เราใช้วิธีตามมาตรฐานของ Cochrane ผลลัพธ์หลักของเราคือ 1. ผู้เข้าร่วมรายงานการกลับมารับประทานอาหาร การเคี้ยวและการพูดตามปกติ; 2. มีการเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาการของการอ้าปากสูงสุด (ระยะห่างระหว่างปากบนและล่าง); 3. การปรับปรุงการเคลื่อนไหวของกราม; 4. การเปลี่ยนแปลงความรุนแรงของความเจ็บปวด/ความรู้สึกแสบร้อนในช่องปาก/เยื่อเมือก; 5. ผลข้างเคียง ผลลัพธ์รองของเราคือ 6. คุณภาพชีวิต; 7. ความรู้สึกไม่สบายหรือมีความเจ็บปวดหลังการผ่าตัดอันเป็นผลมาจากการรักษา; 8. ความพึงพอใจของผู้เข้าร่วม; 9. การเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล; 10. ค่ารักษาพยาบาลโดยตรง จำนวนวันที่นอนในโรงพยาบาล และค่าใช้จ่ายของผู้ป่วยในที่เกี่ยวข้องกับการผ่าตัด เราใช้ GRADE เพื่อประเมินความเชื่อมั่นของหลักฐานสำหรับแต่ละผลลัพธ์

ผลการวิจัย: 

เรารวบรวม RCTs 30 ฉบับ (ผู้เข้าร่วม 2176 คน) ในการทบทวนวรรณกรรมที่อัปเดตนี้ เราประเมินการศึกษา 1 ฉบับให้มีความเสี่ยงของการมีอคติต่ำ การศึกษา 5 ฉบับให้มีความเสี่ยงของการมีอคติไม่ชัดเจน และการศึกษา 24 ฉบับให้มีความเสี่ยงของการมีอคติสูง

เราพบความหลากหลายของวิธีการรักษา ซึ่งเราจัดหมวดหมู่ตามกลไกการออกฤทธิ์ที่เป็นไปได้ เราแสดงผลการค้นพบหลักของเราด้านล่างสำหรับการเปรียบเทียบ 'การรักษาใด ๆ เมื่อเทียบกับยาหลอกหรือการไม่ได้รับการรักษา' (แม้ว่าการทดลองส่วนใหญ่จะรวมการเลิกนิสัยของผู้เข้าร่วมทั้งหมด) ผลลัพธ์สำหรับการเปรียบเทียบแบบตัวต่อตัวของการรักษาที่ออกฤทธิ์จะถูกนำเสนออย่างครบถ้วนในการทบทวนวรรณกรรมหลัก

วิธีการรักษาใดๆ เทียบกับยาหลอกหรือไม่มีการรักษาที่ออกฤทธิ์

รายงานของผู้เข้าร่วมของการกลับมารับประทานอาหาร การเคี้ยว และการพูดตามปกติอีกครั้ง

ไม่มีการศึกษาใดรายงานผลลัพธ์นี้

ระยะห่างระหว่างรอยฟัน

สารต้านอนุมูลอิสระอาจเพิ่มการอ้าปากได้ (ระบุด้วยระยะห่างระหว่างรอยฟัน (มม.)) เมื่อวัดที่น้อยกว่า 3 เดือน (ความแตกต่างเฉลี่ย (MD) 3.11 มม. ช่วงความเชื่อมั่น 95% (CI) 0.46 ถึง 5.77; การศึกษา 2 ฉบับ ผู้เข้าร่วม 520 คน; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำ) และอาจเพิ่มการอ้าปากได้เล็กน้อยที่ 3 ถึง 6 เดือน (MD 8.83 มม., 95% CI 8.22 ถึง 9.45; การศึกษา 3 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 620 คน; หลักฐานความเชื่อมั่นปานกลาง) สารต้านอนุมูลอิสระอาจไม่สร้างความแตกต่างต่อระยะห่างระหว่างรอยฟันในการติดตามผล 6 เดือนหรือนานกว่า (MD −1.41 มม., 95% CI −5.74 ถึง 2.92; การศึกษา 1 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 90 คน; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำ)

เพนทอกซิไฟลีนอาจเพิ่มการอ้าปากได้เล็กน้อย (MD 1.80 มม., 95% CI 1.02 ถึง 2.58; การศึกษา 1 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 106 คน; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำ)

อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่าผลลัพธ์เหล่านี้ทั้งหมดน้อยกว่า 10 มม. ซึ่งถือได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยซึ่งเป็นสิ่งที่มีความหมายต่อผู้ที่เป็นโรคพังผืดใต้เยื่อเมือกในช่องปาก

หลักฐานมีความไม่แน่นอนอย่างมากสำหรับวิธีการรักษาอื่นๆ ทั้งหมด เมื่อเปรียบเทียบกับยาหลอกหรือการไม่ได้รับการรักษาที่ออกฤทธิ์ (intralesional dexamethasone injections, pentoxifylline, hydrocortisone ร่วมกับ hyaluronidase, กายภาพบำบัด)

อาการแสบร้อน

สารต้านอนุมูลอิสระอาจลดคะแนนความรู้สึกแสบร้อนด้วยมาตราส่วนภาพอนาลอก (Visual Analogue Scale : VAS) น้อยกว่าสามเดือน (MD −30.92 มม., 95% CI −31.57 ถึง −30.27; การศึกษา 1 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 400 คน; หลักฐานความเชื่อมั่นปานกลาง) 3 ถึง 6 เดือน ( MD −70.82 มม., 95% CI −94.39 ถึง −47.25; การศึกษา 2 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 500 คน; หลักฐานความเชื่อมั่นปานกลาง) และมากกว่า 6 เดือน (MD −27.60 มม., 95% CI −36.21 ถึง −18.99; การศึกษา 1 ฉบับ, 90 ผู้เข้าร่วม; หลักฐานความเชื่อมั่นปานกลาง)

หลักฐานมีความไม่แน่นอนอย่างมากสำหรับวิธีการอื่นๆ ที่เปรียบเทียบกับยาหลอกและการวัดความรู้สึกแสบร้อน (intralesional dexamethasone, ยาขยายหลอดเลือด)

ผลข้างเคียง

การศึกษา 15 ฉบับ รายงานผลข้างเคียง การศึกษา 6 ฉบับไม่พบผลข้างเคียง การศึกษา 1 ฉบับ ที่ประเมินการปลูกถ่ายไขมันที่ผิวหนังบริเวณหน้าท้องรายงานผลข้างเคียงที่ร้ายแรงซึ่งส่งผลให้ต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาลเป็นเวลานานสำหรับผู้เข้าร่วม 3/30 คน มีผลข้างเคียงทั่วไปแบบชั่วคราวที่ไม่รุนแรงต่อยาที่ออกฤทธิ์ทั่วร่างกาย เช่น อาการอาหารไม่ย่อย ปวดท้องและท้องอืด โรคกระเพาะอักเสบและคลื่นไส้ ในการศึกษาที่ประเมินยาขยายหลอดเลือดและสารต้านอนุมูลอิสระโดยเฉพาะ

บันทึกการแปล: 

แปลโดย นายฎลกร จำปาหวาย วันที่ 28 มีนาคม 2024

Tools
Information