อาหารเสริมสังกะสีสำหรับธาลัสซีเมียและโรคเม็ดเลือดรูปเคียว

สังกะสีเป็นสารอาหารที่จำเป็นเพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างเต็มที่และช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับการติดเชื้อ ผู้คนอาจได้รับสังกะสีไม่เพียงพอจากการรับประทานอาหารเพียงอย่างเดียว นักวิจัยจึงพิจารณาอาหารเสริมสังกะสีเป็นวิธีหนึ่งในการลดภาวะโลหิตจางและป้องกันการติดเชื้อและภาวะแทรกซ้อน ผู้แต่งได้ค้นคว้าเอกสารทางการแพทย์เกี่ยวกับการศึกษาแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุม ซึ่งผู้ป่วยโรคเม็ดเลือดรูปเคียวหรือธาลัสซีเมียได้รับอาหารเสริมสังกะสีหรือไม่ได้รับอาหารเสริมเลย เราได้รวมการทดลอง 9 ฉบับไว้ในการทบทวนนี้ (ผู้เข้าร่วม 459 คน) ในผู้ป่วยธาลัสซีเมีย ไม่มีหลักฐานใดบ่งชี้ถึงประโยชน์ของการเสริมสังกะสีต่อระดับสังกะสีในเลือด อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ได้รับอาหารเสริมมีความสูงที่เพิ่มขึ้น มีหลักฐานที่หลากหลายเกี่ยวกับประโยชน์ของการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมสังกะสีในผู้ป่วยโรคเม็ดเลือดรูปเคียว ตัวอย่างเช่น มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าเมื่อมีการให้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเป็นเวลา 1 ปี ระดับสังกะสีในเลือดจะเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ระดับฮีโมโกลบินและดัชนีมวลกายไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญระหว่างกลุ่ม นอกจากนี้ เรายังพบว่าผู้ป่วยโรคเม็ดเลือดรูปเคียวที่ได้รับอาหารเสริมสังกะสี (ทั้งใน 3 เดือนและ 1 ปี) มีอาการวิกฤตโรคเม็ดเลือดรูปเคียวและการติดเชื้อน้อยลง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากจำนวนการทดลองทั้งหมดยังมีน้อย ผลลัพธ์เหล่านี้จึงควรได้รับการปฏิบัติด้วยความระมัดระวัง

ข้อสรุปของผู้วิจัย: 

ตามผลการศึกษาพบว่าไม่มีหลักฐานจากการทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุมที่บ่งชี้ถึงประโยชน์ใดๆ ของการเสริมสังกะสีต่อระดับสังกะสีในซีรั่มในผู้ป่วยธาลัสซีเมีย อย่างไรก็ตาม มีการสังเกตว่าอัตราความเร็วของความสูงเพิ่มขึ้นในกลุ่มผู้ที่ได้รับการแทรกแซงนี้

มีหลักฐานที่หลากหลายเกี่ยวกับประโยชน์ของการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมสังกะสีในผู้ป่วยโรคเม็ดเลือดรูปเคียว ตัวอย่างเช่น มีหลักฐานที่แสดงว่าการเสริมสังกะสีเป็นเวลา 1 ปี จะเพิ่มระดับสังกะสีในเลือดในผู้ป่วยโรคเม็ดเลือดรูปเคียว อย่างไรก็ตาม แม้ว่าระดับสังกะสีในเลือดจะเพิ่มขึ้นในผู้ป่วยที่ได้รับอาหารเสริมสังกะสี แต่ระดับฮีโมโกลบินและการวัดขนาดของร่างกายไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญระหว่างกลุ่ม หลักฐานของประโยชน์นั้นเห็นได้จากการลดลงของจำนวนการเกิดวิกฤตโรคเม็ดเลือดรูปเคียวในหมู่ผู้ป่วยโรคเม็ดเลือดรูปเคียวที่ได้รับการเสริมสังกะสีซัลเฟตเป็นเวลา 1 ปี และจำนวนของการติดเชื้อทางคลินิกลดลงในหมู่ผู้ป่วยโรคเม็ดเลือดรูปเคียวที่ได้รับการเสริมสังกะสีเป็นเวลาทั้ง 3 เดือนและ 1 ปี

ข้อสรุปดังกล่าวได้มาจากข้อมูลจากการทดลองกลุ่มเล็ก ซึ่งโดยทั่วไปแล้วมีคุณภาพดี มีความเสี่ยงของการมีอคติต่ำ ผู้แต่งแนะนำว่าควรมีการทดลองเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเสริมสังกะสีในโรคธาลัสซีเมียและโรคเม็ดเลือดรูปเคียว เนื่องจากเอกสารต่างๆ ได้แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ของสังกะสีในโรคประเภทนี้แล้ว

อ่านบทคัดย่อฉบับเต็ม
บทนำ: 

โรคฮีโมโกลบินผิดปกติซึ่งเป็นความผิดปกติทางพันธุกรรมของการสังเคราะห์ฮีโมโกลบิน (ธาลัสซีเมีย) หรือโครงสร้างเม็ดเลือดแดง (โรคเม็ดเลือดรูปเคียว) เป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยและการเสียชีวิตจำนวนมากทั่วโลก องค์การอนามัยโลกประมาณการว่าทั่วโลกผู้ใหญ่ 5% เป็นพาหะของภาวะฮีโมโกลบิน 2.9% เป็นพาหะของโรคธาลัสซีเมีย และ 2.3% เป็นพาหะของโรคเม็ดเลือดรูปเคียว พบพาหะได้ทั่วโลกเนื่องมาจากการอพยพของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ไปยังภูมิภาคต่างๆ ของโลก สังกะสีเป็นอาหารเสริมที่หาได้ง่าย และมีโปรแกรมการแทรกแซงเพื่อป้องกันการขาดสังกะสีในผู้ป่วยธาลัสซีเมียหรือโรคเม็ดเลือดรูปเคียว การประเมินบทบาทของการเสริมสังกะสีในการรักษาโรคธาลัสซีเมียและโรคเม็ดเลือดรูปเคียวเป็นสิ่งสำคัญเพื่อลดการเสียชีวิตเนื่องจากภาวะแทรกซ้อน

วัตถุประสงค์: 

เพื่อประเมินผลของการเสริมสังกะสีในการรักษาโรคธาลัสซีเมียและโรคเม็ดเลือดรูปเคียว

วิธีการสืบค้น: 

เราได้ค้นหา the Cochrane Cystic Fibrosis and Genetic Disorders Group's Haemoglobinopathies Trials Register ซึ่งประกอบด้วยเอกสารอ้างอิงที่ระบุจากการค้นฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่ครอบคลุมและการค้นหาด้วยมือจากวารสารที่เกี่ยวข้องและหนังสือบทคัดย่อของเอกสารการประชุม

วันที่ค้นหาล่าสุด: 01 กุมภาพันธ์ 2013

เกณฑ์การคัดเลือก: 

การทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุมด้วยยาหลอกของอาหารเสริมสังกะสีสำหรับการรักษาธาลัสซีเมียหรือโรคเม็ดเลือดรูปเคียว โดยให้ยาอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งเป็นเวลาอย่างน้อย 1 เดือน

การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล: 

ผู้แต่ง 2 คนได้ประเมินความเหมาะสมและความเสี่ยงของการมีอคติของการทดลองที่นำเข้ามา จากนั้นจึงดึงข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูล และเขียนการทบทวนวรรณกรรมขึ้น เราสรุปผลลัพธ์โดยใช้ risk ratios หรือ rate ratios สำหรับข้อมูลแบบ dichotomous และค่าความแตกต่างของค่าเฉลี่ยสำหรับข้อมูลต่อเนื่อง เรารวบรวมผลการทดลองที่เหมาะสม

ผลการวิจัย: 

เราได้พบการทดลอง 9 ฉบับเพื่อรวมไว้ โดยมีข้อมูลผลลัพธ์ทั้งหมดของการศึกษาทั้ง 9 ฉบับ การทดลอง 2 ฉบับ รายงานเกี่ยวกับผู้ป่วยธาลัสซีเมีย (n = 152) และการทดลอง 7 ฉบับ รายงานเกี่ยวกับโรคเม็ดเลือดรูปเคียว (n = 307)

ในผู้ป่วยธาลัสซีเมีย จากการทดลอง 1 ฉบับ พบว่าค่าระดับสังกะสีในเลือดไม่มีความแตกต่างกันระหว่างกลุ่มที่ได้รับอาหารเสริมสังกะสีและกลุ่มควบคุม โดยมีค่าเฉลี่ยความแตกต่าง 47.40 (ช่วงความเชื่อมั่น 95% -12.95 ถึง 107.99) ในส่วนของการตรวจวัดขนาดร่างกาย ในการทดลอง 1 ฉบับ พบว่าอัตราเร็วของส่วนสูงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในผู้ป่วยที่ได้รับอาหารเสริมสังกะสีเป็นเวลา 1 ถึง 7 ปี โดยมีค่าความแตกต่างเฉลี่ย 3.37 (ช่วงความเชื่อมั่น 95% 2.36 ถึง 4.38) (จำนวนผู้เข้าร่วมทั้งหมด = 26 คน) อย่างไรก็ตาม ในการทดลอง 1 ฉบับ ไม่มีความแตกต่างในดัชนีมวลกายระหว่างกลุ่มการรักษา

การเสริมสังกะสีอะซิเตทเป็นเวลา 3 เดือน (ในการทดลอง 1 ฉบับ) และ 1 ปี (ในการทดลอง 2 ฉบับ) (จำนวนผู้เข้าร่วมทั้งหมด = 71 คน) พบว่าเพิ่มระดับสังกะสีในเลืดอย่างมีนัยสำคัญในผู้ป่วยโรคเม็ดเลือดรูปเคียว โดยมีความแตกต่างเฉลี่ย 14.90 (ช่วงความเชื่อมั่น 95% 6.94 ถึง 22.86) และ 20.25 (ช่วงความเชื่อมั่น 95% 11.73 ถึง 28.77) ตามลำดับ ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในเรื่องระดับฮีโมโกลบินระหว่างกลุ่มที่ได้รับอาหารเสริมสังกะสีและกลุ่มควบคุม ทั้งในกลุ่มระยะเวลา 3 เดือน (การทดลอง 1 ฉบับ) หรือ 1 ปี (การทดลอง 1 ฉบับ) โดยมีค่าความแตกต่างเฉลี่ย 0.06 (ช่วงความเชื่อมั่น 95% -0.84 ถึง 0.96) และค่าความแตกต่างเฉลี่ย -0.07 (ช่วงความเชื่อมั่น 95% -1.40 ถึง 1.26) ตามลำดับ ในส่วนของการตรวจวัดขนาดร่างกาย การทดลอง 1 ฉบับ แสดงให้เห็นว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนในดัชนีมวลกายหรือน้ำหนักหลังจากการเสริมสังกะสีอะซิเตทเป็นเวลา 1 ปี ในผู้ป่วยโรคเม็ดเลือดรูปเคียว จำนวนครั้งวิกฤตโรคเม็ดเลือดรูปเคียวทั้งหมดใน 1 ปีลดลงอย่างมีนัยสำคัญในกลุ่มที่ได้รับอาหารเสริมซิงค์ซัลเฟตเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม โดยมีความแตกต่างเฉลี่ย -2.83 (ช่วงความเชื่อมั่น 95% -3.51 ถึง -2.15) (ผู้เข้าร่วมทั้งหมด 130 คน) แต่แตกต่างจากกลุ่มที่ได้รับซิงค์อะซิเตท โดยมีความแตกต่างเฉลี่ย 1.54 (ช่วงความเชื่อมั่น 95% -2.01 ถึง 5.09) (ผู้เข้าร่วมทั้งหมด 22 คน) จากการทดลอง 1 ฉบับ ที่ระยะเวลา 3 เดือนและการทดลองอีก 1 ฉบับที่ระยะเวลา 1 ปี จำนวนรวมของการติดเชื้อทางคลินิกลดลงอย่างมีนัยสำคัญในกลุ่มที่เสริมสังกะสีเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม โดยมีค่าความแตกต่างเฉลี่ย 0.05 (ช่วงความเชื่อมั่น 95% 0.01 ถึง 0.43) (จำนวนผู้เข้าร่วมทั้งหมด = 36 คน) และค่าความแตกต่างเฉลี่ย -7.64 (ช่วงความเชื่อมั่น 95% -10.89 ถึง -4.39) (จำนวนผู้เข้าร่วมทั้งหมด = 21 คน) ตามลำดับ

บันทึกการแปล: 

ผู้แปล แพทย์หญิงชุติมา ชุณหะวิจิตร วันที่ 25 กันยายน 2024

Tools
Information