เวลาและปริมาณของคอร์ติโคสเตียรอยด์ที่แตกต่างกันเพื่อป้องกันการบาดเจ็บของปอด

คำถามของการทบทวนวรรณกรรม

ช่วงเวลาและปริมาณของคอร์ติโคสเตียรอยด์ (กลุ่มยาที่ระงับการอักเสบ) ที่ดีที่สุดในการป้องกันการบาดเจ็บของปอดในทารกที่คลอดก่อนกำหนด

ที่มาและความสำคัญ

ทารกที่คลอดเร็วเกินไปมีความเสี่ยงในการเกิดอาการบาดเจ็บที่ปอดมากขึ้น ในทางการแพทย์เรียกว่าโรคปอดเรื้อรัง (CLD) หรือโรคหลอดลมและปอดผิดปกติ (BPD) การอักเสบของปอดเป็นสาเหตุหนึ่งของปัญหาปอด และด้วยเหตุนี้ การศึกษาจึงได้ตรวจสอบยาต้านการอักเสบที่เรียกว่าคอร์ติโคสเตียรอยด์ การศึกษาเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าการรักษาด้วยคอร์ติโคสเตียรอยด์ช่วยลดความเสี่ยงของ BPD แต่ก็เกี่ยวข้องกับผลข้างเคียงที่ร้ายแรงต่อพัฒนาการในภายหลัง เพื่อลดผลข้างเคียงเหล่านี้ แพทย์ได้มองหาทางเลือกอื่นของยาเหล่านี้ เช่น เลื่อนการเริ่มใช้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ไปในช่วงหลังของชีวิต ลดปริมาณยาทั้งหมดที่ได้รับ ให้ยาเพียงบางวันแล้วหยุดชั่วคราว เป็นบางครั้งแทนที่จะเป็นทุกวัน หรือตัดสินใจเกี่ยวกับขนาดยาทั้งหมดหรือระยะเวลาของการใช้ยาขึ้นอยู่กับว่าทารกเป็นอย่างไร แทนที่จะใช้ยามาตรฐานสำหรับทารกทุกคน

ผู้วิจัยทำการศึกษาอย่างไร

เราค้นหาฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์และพบการศึกษา 16 ฉบับที่ตรวจสอบสูตรคอร์ติโคสเตียรอยด์สองสูตรขึ้นไปในทารกคลอดก่อนกำหนด สูตรที่ทำการศึกษาแตกต่างกันในขนาดยาทั้งหมดที่ได้รับ ระยะเวลาที่เริ่มใช้ยา ระยะเวลาและตารางการรักษา

ผลลัพธ์หลัก

เราพบการศึกษา 16 ฉบับที่ตรวจสอบระยะเวลาที่แตกต่างกันของการเริ่มต้นและปริมาณของการรักษาด้วยคอร์ติโคสเตียรอยด์ การศึกษาเปรียบเทียบสูตรขนาดยาที่สูงกว่ากับขนาดยาที่ต่ำกว่า ไม่พบความแตกต่างของโอกาสในการพัฒนา BPD ระหว่างสองกลุ่ม แต่มีความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของพัฒนาการที่ไม่ดีในภายหลังสำหรับทารกที่ได้รับยาในปริมาณรวมที่ต่ำกว่า การศึกษาที่ตรวจสอบการเริ่มใช้สเตียรอยด์เร็วกับภายหลังไม่แสดงความแตกต่างในผลลัพธ์ นอกจากนี้ คอร์สที่ให้สเตียรอยด์ในบางวันโดยหยุดพักระหว่างวัน แทนที่จะให้ทุกวัน มีโอกาสเกิด BPD สูงกว่าเมื่อเทียบกับการให้ทุกวัน การตัดสินใจเกี่ยวกับขนาดยาทั้งหมดและระยะเวลาขอการให้ขึ้นอยู่กับว่าทารกเป็นอย่างไรไรไม่แตกต่างกันเมื่อเทียบกับการใช้สูตรยามาตรฐานสำหรับทารกทุกคน

ข้อจำกัดของหลักฐานคืออะไร

เรามีความเชื่อมั่นอย่างจำกัดในหลักฐาน เนื่องจากการศึกษาส่วนใหญ่มีข้อจำกัดในการออกแบบการศึกษา การศึกษาส่วนใหญ่มีขนาดตัวอย่างเล็ก และมีความแตกต่างอย่างมากระหว่างการศึกษาที่ทำให้ยากต่อการเปรียบเทียบ การศึกษาส่วนใหญ่สั้นเกินไปที่จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับพัฒนาการในระยะยาวของทารก ดังนั้นจึงยังไม่ทราบแนวทางการรักษาที่ดีที่สุดสำหรับป้องกัน BPD

หลักฐานนี้เป็นปัจจุบันแค่ไหน

การทบทวนวรรณกรรมนี้เป็นการปรับปรุงการทบทวนวรรณกรรมก่อนหน้า หลักฐานเป็นปัจจุบันถึงกันยายน 2022

ข้อสรุปของผู้วิจัย: 

หลักฐานมีความไม่แน่นอนอย่างมากเกี่ยวกับผลกระทบของสูตรยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ที่แตกต่างกันต่อการเสียชีวิต การเจ็บป่วยในปอด และความบกพร่องทางพัฒนาการของระบบประสาทในระยะยาว แม้จะมีข้อเท็จจริงที่ว่าการศึกษาที่ตรวจสอบขนาดยาที่สูงขึ้นกับขนาดยาที่ลดลงแสดงให้เห็นว่าขนาดยาที่สูงขึ้นอาจลดอุบัติการณ์ของการเสียชีวิตหรือความบกพร่องทางพัฒนาการของระบบประสาท เราไม่สามารถสรุปได้ว่าชนิด ปริมาณ หรือระยะเวลาที่เหมาะสมในการเริ่มต้นสำหรับการป้องกัน BPD ในทารกคลอดก่อนกำหนดคืออะไร ตามระดับของหลักฐานในปัจจุบัน จำเป็นต้องมีการทดลองที่มีคุณภาพสูงเพิ่มเติมเพื่อให้มีสูตรการให้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ชนิดทั่วร่างกายหลังคลอดที่เหมาะสมที่สุด

อ่านบทคัดย่อฉบับเต็ม
บทนำ: 

การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบแสดงให้เห็นว่ายาคอร์ติโคสเตียรอยด์ชนิดที่ออกฤทธ์ทั้งร่างกายให้หลังคลอดช่วยลดความเสี่ยงของการเกิด bronchopulmonary dysplasia (BPD) ในทารกที่คลอดก่อนกำหนด อย่างไรก็ตาม คอร์ติโคสเตียรอยด์ยังสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของพัฒนาการทางระบบประสาทที่แย่ลง ไม่ทราบว่าผลดีและผลเสียเหล่านี้ถูกปรับโดยความแตกต่างของสูตรการรักษาคอร์ติโคสเตียรอยด์ที่เกี่ยวข้องกับชนิดของสเตียรอยด์ ระยะเวลาของการเริ่มต้นการรักษา ระยะเวลา การให้ยาเป็นครั้งๆกับการให้ยาต่อเนื่อง และขนาดยาสะสม

วัตถุประสงค์: 

เพื่อประเมินผลของสูตรการรักษาด้วยยาคอร์ติโคสเตียรอยด์แบบต่างๆ ต่อการตาย การเจ็บป่วยในปอด และผลพัฒนาการทางระบบประสาทในทารกแรกคลอดที่มีน้ำหนักตัวน้อยมาก

วิธีการสืบค้น: 

เราทำการค้นหาในเดือนกันยายน 2022 จาก MEDLINE, Cochrane Library, Embase และการลงทะเบียนทดลองสองแห่ง โดยไม่จำกัดวันที่ ภาษา หรือประเภทสิ่งพิมพ์ วิธีการค้นหาอื่นๆ ได้แก่ การตรวจสอบรายการอ้างอิงของการศึกษา ที่ รวบรวมสำหรับการทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุม (RCTs) และการทดลองกึ่งสุ่ม

เกณฑ์การคัดเลือก: 

เรารวม RCTs ที่เปรียบเทียบสูตรการรักษาที่แตกต่างกันสองสูตรขึ้นไปของยาคอร์ติโคสเตียรอยด์แบบทั่วร่างกาให้หลังคลอดในทารกคลอดก่อนกำหนดที่มีความเสี่ยงต่อภาวะ BPD ตามที่กำหนดโดยผู้ศึกษา การเปรียบเทียบวิธีการต่อไปนี้มีสิทธิ์เข้าร่วม: คอร์ติโคสเตียรอยด์อื่น (เช่น ไฮโดรคอร์ติโซน) เทียบกับคอร์ติโคสเตียรอยด์ตัวอื่น (เช่น เดกซาเมทาโซน); ปริมาณที่ต่ำกว่า (กลุ่มทดลอง) กับปริมาณที่สูงขึ้น (กลุ่มควบคุม); การเริ่มให้ช้ากว่า (กลุ่มทดลอง) กับการเริ่มการรักษาก่อน (ควบคุม) การให้ยาแบบเป็นครั้งๆ (กลุ่มทดลอง) กับสูตรการให้ยาแบบต่อเนื่อง (กลุ่มควบคุม); และสูตรที่ปรับให้เหมาะกับแต่ละบุคคล (กลุ่มทดลอง) ตามการตอบสนองของปอดเทียบกับสูตรมาตรฐาน (ที่กำหนดไว้ล่วงหน้าสำหรับทารกทุกคน) (กลุ่มควบคุม) เราไม่รวมการศึกษาเกี่ยวกับคอร์ติโคสเตียรอยด์ที่ควบคุมด้วยยาหลอกและการให้คอร์ติโคสเตียรอยด์แบบสูดดม

การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล: 

ผู้วิจัย 2 คนประเมินคุณสมบัติและความเสี่ยงของการมีอคติของการทดลองอย่างอิสระ และดึงข้อมูลในการออกแบบการศึกษา คุณลักษณะของผู้เข้าร่วม และผลลัพธ์ที่เกี่ยวข้อง เราขอให้ผู้ศึกษาเดิมตรวจสอบว่าการดึงข้อมูลถูกต้องหรือไม่ และหากเป็นไปได้ขอข้อมูลที่ขาดหายไป เราประเมินผลลัพธ์หลักต่อไปนี้: การตายแบบคอมโพสิตหรือ BPD ที่อายุครรภ์ (PMA) 36 สัปดาห์ ผลลัพธ์รอง ได้แก่ ส่วนประกอบของผลลัพธ์เชิงประกอบ การเจ็บป่วยในโรงพยาบาลและผลลัพธ์ของปอด และผลที่ตามมาของพัฒนาการทางระบบประสาทในระยะยาว เราวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ Review Manager 5 และใช้วิธี GRADE เพื่อประเมินความแน่นอนของหลักฐาน

ผลการวิจัย: 

เรารวมการศึกษา 16 ฉบับในการทบทวนวรรณกรรมนี้ ในจำนวนนี้ มี 15 ฉบับรวมอยู่ในการสังเคราะห์เชิงปริมาณ การทดลอง 2 ฉบับตรวจสอบสูตรการรักษาหลายรายการ และด้วยเหตุนี้จึงรวมอยู่ในการเปรียบเทียบมากกว่า 1 รายการ พบเฉพาะ RCTs ที่ตรวจสอบ dexamethasone เท่านั้น

การศึกษา 8 ฉบับที่มีผู้เข้าร่วมทั้งหมด 306 คนทำการตรวจสอบปริมาณยาสะสมที่บริหารให้; การทดลองเหล่านี้แบ่งประเภทตามขนาดยาสะสมที่ตรวจสอบ 'ต่ำ' คือ < 2 มก./กก., 'ปานกลาง' อยู่ระหว่าง 2 ถึง 4 มก./กก. และ 'สูง' > 4 มก./กก.; การศึกษา 3 ฉบับเปรียบเทียบขนาดยาเดกซาเมทาโซนสะสมในปริมาณสูงกับขนาดยาสะสมปานกลาง และการศึกษา 5 ฉบับเปรียบเทียบขนาดยาเดกซาเมทาโซนสะสมในระดับปานกลางกับระดับต่ำ เราให้คะแนนความเชื่อมั่นของหลักฐานจากต่ำถึงต่ำมาก เนื่องจากเหตุการณ์มีจำนวนน้อย และมีความเสี่ยงในการคัดเลือก การออกจากการศึกษาก่อนเวลา และอคติในการรายงาน การวิเคราะห์โดยรวมของการศึกษาที่พิจารณาขนาดยาที่สูงขึ้นเทียบกับขนาดยาที่ต่ำกว่า ไม่พบความแตกต่างในผลลัพธ์ BPD, การเสียชีวิตของผลลัพธ์รวมหรือ BPD ที่ PMA 36 สัปดาห์ หรือผลลัพธ์การพัฒนาทางระบบประสาทที่ผิดปกติในผู้รอดชีวิตที่ได้รับการประเมิน แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานของความแตกต่างของกลุ่มย่อยสำหรับการเปรียบเทียบขนาดยาที่สูงกว่าและต่ำกว่า (Chi 2 = 2.91, df = 1 (P = 0.09), I 2 = 65.7%) มีผลกระทบที่มากขึ้นเห็นได้จากการวิเคราะห์กลุ่มย่อยของขนาดยาระดับปานกลางเทียบกับขนาดยาสูงสำหรับผลลัพธ์ของสมองพิการในผู้รอดชีวิต ในการวิเคราะห์กลุ่มย่อยนี้ มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นของสมองพิการ (RR 6.85, 95% CI 1.29 ถึง 36.36; RD 0.23, 95% CI 0.08 ถึง 0.37; P = 0.02; I² = 0%; NNTH 5, 95% CI 2.6 ถึง 12.7; การศึกษา 2 ฉบับ ทารก 74 คน) มีหลักฐานของความแตกต่างของกลุ่มย่อยสำหรับการเปรียบเทียบขนาดยาที่สูงขึ้นและต่ำลงสำหรับผลลัพธ์รวมของการเสียชีวิตหรือสมองพิการ และการเสียชีวิตและผลลัพธ์ของพัฒนาการทางระบบประสาทที่ผิดปกติ (Chi 2 = 4.25, df = 1 (P = 0.04), I 2 = 76.5%; และ Chi 2 = 7.11, df = 1 (P = 0.008), I 2 = 85.9% ตามลำดับ ในการวิเคราะห์กลุ่มย่อยที่เปรียบเทียบขนาดยาเดกซาเมทาโซนในขนาดสูงกับขนาดยาสะสมระดับปานกลาง พบว่ามีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตหรือสมองพิการเพิ่มขึ้น (RR 3.20, 95% CI 1.35 ถึง 7.58; RD 0.25, 95% CI 0.09 ถึง 0.41; P = 0.002; I² = 0%; NNTH 5, 95% CI 2.4 ถึง 13.6; การศึกษา 2 ฉบับ, ทารก 84 คน; หลักฐานมีความเชื่อมั่นปานกลาง) และการเสียชีวิตหรือผลพัฒนาการทางระบบประสาทที่ผิดปกติ (RR 3.41, 95% CI 1.44 ถึง 8.07; RD 0.28 , 95% CI 0.11 ถึง 0.44; P = 0.0009; I² = 0%; NNTH 4, 95% CI 2.2 ถึง 10.4; การศึกษา 2 ฉบับ, ทารก 84 คน; หลักฐานมีความเชื่อมั่นปานกลาง) ไม่มีความแตกต่างในผลลัพธ์ระหว่างสูตรยาที่ขนาดปานกลางและขนาดต่ำ

การศึกษา 5 ฉบับที่รวบรวมทารก 797 คน ตรวจสอบการเริ่มการรักษาด้วยยาเดกซาเมทาโซนแต่เนิ่นๆ เทียบกับการเริ่มการรักษาที่เร็วปานกลางหรือล่าช้า และไม่พบความแตกต่างที่มีนัยสำคัญในการวิเคราะห์โดยรวมสำหรับผลลัพธ์หลัก RCTs 2 ฉบับที่ตรวจสอบสูตรยาเดกซาเมทาโซนแบบต่อเนื่องเทียบกับเดกซาเมทาโซนที่ให้เป็นช่วงๆแสดงให้เห็นความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของการเสียชีวิตแบบผลลัพธ์รวมหรือ BPD เมื่อใช้การรักษาที่ให้ยาเป็นช่วงๆ ในที่สุด การทดลอง 3 ฉบับ ที่ตรวจสอบสูตรการรักษามาตรฐานเทียบกับสูตรการให้เดกซาเมทาโซนขึ้นกับผู้เข้าร่วมเป็นรายบุคคลไม่มีความแตกต่างกันในผลลัพธ์หลักและผลลัพธ์การพัฒนาของระบบประสาทในระยะยาว

เราประเมินความเชื่อมั่นของ GRADE กับหลักฐานสำหรับการเปรียบเทียบทั้งหมดที่กล่าวถึงข้างต้นว่าอยู่ในระดับปานกลางถึงต่ำมาก เนื่องจากความถูกต้องของการเปรียบเทียบทั้งหมดถูกขัดขวางโดยความไม่ชัดเจนหรือความเสี่ยงสูงของการเกิดอคติ กลุ่มตัวอย่างขนาดเล็กของทารกที่สุ่ม ความหลากหลายในประชากรและการออกแบบการศึกษา ไม่มีเกณฑ์สำหรับการใช้คอร์ติโคสเตียรอยด์แบบ 'ช่วยเหลือ' และการขาดข้อมูลพัฒนาการทางระบบประสาทในระยะยาวในการศึกษาส่วนใหญ่

บันทึกการแปล: 

แปลโดย พญ.วิลาสินี หน่อแก้ว โรงพยาบาลมะเร็งอุบลราชธานี Edit โดย ผกากรอง 6 มิถุนายน 2023

Tools
Information