ประเด็นคืออะไรและทำไมเรื่องนี้จึงมีความสำคัญ
รก (หลังคลอด) พัฒนาในมดลูกระหว่างตั้งครรภ์เพื่อให้ออกซิเจนและสารอาหารแก่ทารกที่กำลังเติบโตและเพื่อขจัดของเสียออกจากเลือดของทารก รกยึดติดกับผนังมดลูกและเชื่อมโยงกับทารกผ่านทางสายสะดือ รกมีบทบาทสำคัญในการกำหนดสุขภาพของทารกและแม่ สุขภาพของรกสามารถประเมินได้โดยการทดสอบเลือดหรือปัสสาวะของมารดาเพื่อวัดสารเคมีที่เกิดจากรก การมีข้อมูลนี้สามารถปรับปรุงผลลัพธ์ของการตั้งครรภ์ได้ เนื่องจากผู้เชี่ยวชาญสามารถจัดการเพื่อป้องกันผลลัพธ์ เช่น การตายคลอดหรือทารกที่เกิดมามีขนาดเล็กเกินไป
เราพบหลักฐานอะไร
เรารวม 3 การศึกษาแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุม 2 การทดลองมีความเสี่ยงของการมีอคติสูง และการทดลองหนึ่งมีความเสี่ยงของการมีอคติต่ำ 1 การศึกษาหนึ่งไม่ได้ให้ข้อมูลใดๆ ต่อการทบทวนวรรณกรรมนี้ ดังนั้น การทบทวนนี้จึงอิงตามข้อมูลจาก 2 การศึกษาที่เกี่ยวข้องกับมารดา 740 คน หลักฐานจากการศึกษาเหล่านี้ถูกจัดลำดับเป็นหลักฐานคุณภาพต่ำหรือต่ำมาก
เราพบหลักฐานไม่เพียงพอที่จะสรุปผลการทดสอบที่วัดสุขภาพของรกในการลดจำนวนทารกที่เสียชีวิตก่อนคลอด ( หลักฐานคุณภาพต่ำมาก ) หรือหลังคลอดได้ไม่นาน ( หลักฐานคุณภาพต่ำมาก ) หรือในการลดจำนวน ทารกที่เกิดมามีขนาดเล็กตามอายุครรภ์ ( หลักฐานคุณภาพต่ำ ) ไม่มีหลักฐานที่บ่งชี้ว่าการวัดสุขภาพของรกอาจก่อให้เกิดอันตรายโดยการเพิ่มวิธีการ (การคลอดตามแผนหรือการผ่าตัดคลอด ( หลักฐานคุณภาพต่ำ ) หรือระดับความวิตกกังวลของมารดาที่เพิ่มขึ้น จำนวนทารกที่เข้ารับการรักษาในหออภิบาลทารกแรกเกิดหรือสัดส่วนของทารกที่เกิดก่อนอายุครรภ์ 37 สัปดาห์ไม่เปลี่ยนแปลง ( หลักฐานคุณภาพต่ำ ) ไม่มีรายงานโรคร้ายแรงสำหรับทารก (ตามที่รายงานในการศึกษาเดียวเท่านั้น) หรือการเสียชีวิตของมารดาในการศึกษาใดๆ ผลลัพธ์อื่นๆ ที่น่าสนใจของการทบทวนวรรณกรรมนี้ไม่ได้รายงานในการศึกษาที่รวบรวมไว้
จำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อหาการทดสอบที่มีประโยชน์ที่สุดสำหรับสุขภาพของรกเป็นวิธีการทำนายผลการตั้งครรภ์ที่ไม่ดี และจากนั้นเพื่อตรวจสอบว่าการทดสอบกับมารดาทำให้ผลการตั้งครรภ์ดีขึ้นหรือไม่
มีหลักฐานไม่เพียงพอที่จะสนับสนุนการใช้การทดสอบทางชีวเคมีของการทำงานของรกเพื่อลดการตายปริกำเนิดหรือเพิ่มการตรวจพบทารกน้ำหนักตัวน้อยสำหรับอายุครรภ์ อย่างไรก็ตาม เราสามารถรวมข้อมูลจาก 2 การศึกษาที่วัดเอสโตรเจนและ hPL เท่านั้น คุณภาพของหลักฐานอยู่ในระดับต่ำถึงต่ำมาก
2 การทดลองดำเนินการในปี 1970 ในสตรีที่มีภาวะแทรกซ้อนจากการฝากครรภ์ที่หลากหลาย และหลักฐานนี้ไม่สามารถนำไปใช้ในสตรีที่มีความเสี่ยงต่ำของภาวะแทรกซ้อน หรือกลุ่มสตรีที่มีอาการแทรกซ้อนในการตั้งครรภ์โดยเฉพาะ (เช่น การเติบโตของทารกในครรภ์จำกัด) นอกจากนี้ ผลลัพธ์ที่ได้อธิบายไว้ในปี 1970 อาจไม่สะท้อนถึงสิ่งที่คาดหวังในปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น อัตราการเสียชีวิตของทารกแรกเกิดลดลงอย่างมาก เช่น ทารกที่คลอดเมื่ออายุ 28 สัปดาห์จะมีโอกาสรอดชีวิตมากขึ้นหากมีการศึกษาซ้ำ ซึ่งอาจส่งผลต่อผลลัพธ์หลักของ meta-analysis
ด้วยข้อมูลจาก 2 การศึกษาเท่านั้น (สตรี 740 คน) การทบทวนวรรณกรรมนี้มีประสิทธิภาพต่ำเกินไปในการตรวจหาความแตกต่างในอุบัติการณ์การเสียชีวิตของทารกหรือความถี่ของทารกที่น้ำหนักน้อยสำหรับอายุครรภ์ เนื่องจากมีอุบัติการณ์พื้นฐานประมาณ 0.75% และ 10% ของการตั้งครรภ์ตามลำดับ ในทำนองเดียวกัน การทบทวนวรรณกรรมนี้ไม่มีอำนาจเพียงพอในการประเมินความแตกต่างระหว่างเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่ร้ายแรงและ/หรือที่ไม่ค่อยเกิดขึ้น เช่น การเจ็บป่วยของทารกแรกเกิดอย่างรุนแรง 2 ใน 3 การศึกษาที่รวมมาเป็นแบบกึ่งสุ่ม โดยมีความเสี่ยงสูงที่จะมีอคติในการจัดสรรกลุ่ม นอกจากนี้ อาจมี performance bias ในหนึ่งในสองการศึกษาที่ให้ข้อมูล ผู้เข้าร่วมที่ได้รับการดูแลมาตรฐานไม่มีการเจาะเลือด ดังนั้นแพทย์ที่รักษาผู้เข้าร่วมจึงสามารถระบุได้ว่าผู้เข้าร่วมอยู่ในกลุ่มใดในการศึกษา การศึกษาในอนาคตควรพิจารณาวิธีการสุ่มตัวอย่างที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นและการปกปิดการจัดสรรกลุ่ม และควรมีขนาดตัวอย่างเพียงพอเพื่อตรวจหาความแตกต่างในเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่หายาก
การศึกษาที่พบในการทบทวนวรรณกรรมนี้ตรวจสอบสารวิเคราะห์ที่แตกต่างกันสองชนิด: Oestrogen และ hPL มีผลิตภัณฑ์จากรกอื่น ๆ อีกมากมายที่สามารถใช้เป็นตัวแทนของการทำงานของรก ได้แก่ placental growth factor (PlGF) human chorionic gonadotrophin (hCG) plasma protein A (PAPP-A) placental protein 13 (PP-13) pregnancy-specific glycoproteins และ progesterone metabolites และควรมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อตรวจสอบผลิตภัณฑ์ในรกอื่นๆ เหล่านี้ การทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุมในอนาคตควรทดสอบการวิเคราะห์ที่ระบุว่ามีความน่าเชื่อถือในการทำนายที่ดีที่สุดสำหรับความผิดปกติของรกที่นำไปสู่ทารกน้ำหนักน้อยเมื่อเทียบกับอายุครรภ์และการตายปริกำเนิด
รกมีบทบาทสำคัญในการกำหนดผลลัพธ์ของการตั้งครรภ์ ด้วยเหตุนี้ การวัดผลทางชีวเคมีของปัจจัยที่เกิดจากรกจึงได้รับการแนะนำว่าเป็นวิธีการในการปรับปรุงผลลัพธ์ของทารกในครรภ์และมารดา
เพื่อประเมินว่าความรู้ของแพทย์เกี่ยวกับผลการทดสอบทางชีวเคมีของการทำงานของรกมีความสัมพันธ์กับการปรับปรุงผลของการตั้งครรภ์ของทารกหรือมารดาหรือไม่
เราค้นหา Cochrane Pregnancy and Childbirth Group's Trials Register (31 กรกฎาคม 2015) และรายการอ้างอิงของการศึกษาที่ค้นมาได้
การทดลองแบบสุ่ม สุ่มกลุ่ม หรือกึ่งสุ่ม ประเมินข้อดีของการใช้การทดสอบทางชีวเคมีของการทำงานของรกเพื่อปรับปรุงผลการตั้งครรภ์
การศึกษาเข้าเกณฑ์ถ้าเปรียบเทียบสตรีที่มีการทดสอบการทำงานของรกและมีผลลัพธ์ให้แพทย์ของพวกเขา กับสตรีที่ไม่มีการทดสอบหรือการทดสอบเสร็จสิ้นแล้ว แตไม่มีผลลัพธ์สำหรับแพทย์ การทดสอบการทำงานของรกเป็นการทดสอบทางชีวเคมีของการทำงานของรกโดยใช้สารชีวภาพของสตรีนั้น ไม่ว่าจะเพียงอย่างเดียวหรือร่วมกับการทดสอบการทำงานของรกอื่นๆ
ผู้ทบทวนวรรณกรรม 2 คนประเมินการทดลองเพื่อรวมนำเข้า คัดลอกข้อมูล และประเมินคุณภาพการทดลองอย่างอิสระ ผู้เขียนการทดลองที่ตีพิมพ์ได้รับการติดต่อเพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม
มีการรวม 3 การทดลอง เป็น 2 การทดลองควบคุมกึ่งสุ่ม และ 1 การทดลองควบคุมแบบสุ่ม 1 การทดลองถือว่ามีความเสี่ยงของการมีอคติต่ำ ในขณะที่อีก 2 การทดลองมีความเสี่ยงสูงที่จะมีอคติ การวิเคราะห์ทางชีวเคมีที่แตกต่างกันคือ estrogen ถูกวัดใน 1 การทดลองและอีก 2 การทดลองวัด human placental lactogen (hPL) 1 การทดลองไม่ได้ให้ข้อมูลผลลัพธ์ ดังนั้นผลของการทบทวนวรรณกรรมนี้จึงอิงจาก 2 การทดลองที่มีผู้เข้าร่วม 740 คน
ไม่มีหลักฐานของความแตกต่างในอุบัติการณ์การ เสียชีวิตของทารก (risk ratio (RR) 0.88 ช่วงความเชื่อมั่น 95% (CI) 0.36 ถึง 2.13, 2 การทดลอง ผู้เข้าร่วม 740 คน ( หลักฐานคุณภาพต่ำมาก )) หรือ ความถี่ของ ทารกขนาดเล็กสำหรับอายุครรภ์ (RR 0.44, 95% CI 0.16 ถึง 1.19, 1 การทดลอง ผู้เข้าร่วม 118 คน ( หลักฐานคุณภาพต่ำ ))
ในแง่ของผลลัพธ์รองของการทบทวนวรรณกรรมนี้ ไม่มีหลักฐานของความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างสตรีที่ได้รับการทดสอบทางชีวเคมีของการทำงานของรกเมื่อเปรียบเทียบกับการดูแลฝากครรภ์มาตรฐานสำหรับอุบัติการณ์ของการ คลอดก่อนกำหนด (RR 0.56, 95% CI 0.16 ถึง 1.88, 2 การศึกษา ผู้เข้าร่วม 740 คน ( หลักฐานคุณภาพต่ำมาก )) หรือการ เสียชีวิตของทารกแรกเกิด (RR 1.62, 95% CI 0.39 ถึง 6.74, 2 การทดลอง ผู้เข้าร่วม 740 คน หลักฐานคุณภาพต่ำมาก )) แม้ว่าทิศทางของผลที่อาจเกิดขึ้นจะตรงกันข้าม ไม่มีหลักฐานของความแตกต่างระหว่างกลุ่มในการ กำหนดการคลอด (RR 0.98, 95% CI 0.84 ถึง 1.14, 2 การทดลอง ผู้เข้าร่วม 740 คน ( หลักฐานคุณภาพต่ำ )) การ ผ่าตัดคลอด (RR 0.48, 95% CI 0.15 ถึง 1.52 , 1 การทดลอง, ผู้เข้าร่วม 118 คน ( หลักฐานคุณภาพต่ำ )), การเปลี่ยนแปลงในคะแนนความวิตกกังวล (ความแตกต่างเฉลี่ย -2.40, 95% CI -4.78 ถึง -0.02, 1 การทดลอง ผู้เข้าร่วม 118 คน), การเข้ารักษาในหอผู้ป่วยหนักทารกแรกเกิด (RR 0.32, 95% CI 0.03 ถึง 3.01, 1 การทดลอง ผู้เข้าร่วม 118 คน) และการ คลอดก่อนกำหนดก่อนตั้งครรภ์ 37 สัปดาห์ (RR 2.90, 95% CI 0.12 ถึง 69.81, 1 การทดลอง ผู้เข้าร่วม 118 คน) 1 การทดลอง (ผู้เข้าร่วม 118 คน) รายงานว่าไม่มีกรณีการ เจ็บป่วยของทารกแรกเกิดที่ร้ายแรง ไม่มีรายงานการ เสียชีวิตของมารดา
ผลลัพธ์รองของการทบทวนนี้เกี่ยวกับทารกไม่มีการรายงานในการศึกษาที่รวบรวมไว้ ได้แก่ ค่า pH ของหลอดเลือดแดงสะดือ <7.0 การดูแลทารกแรกเกิดอย่างเข้มข้นนานกว่าเจ็ดวัน การคลอดก่อนกำหนดมาก (< 32 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์) ความจำเป็นในการช่วยหายใจ , อวัยวะล้มเหลว, ความผิดปกติของทารกในครรภ์, พัฒนาการทางระบบประสาทในวัยเด็ก (สมองพิการ, พัฒนาการทางระบบประสาทล่าช้า). ในทำนองเดียวกัน ผลลัพธ์รองของมารดาของการทบทวนวรรณกรรมจำนวนหนึ่งไม่มีการรายงานในการศึกษาที่รวบรวมมา (การเข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยหนัก การเข้ารักษาตัวในหน่วยที่ต้องการการดูแลสูง รักษาในโรงพยาบาล > 7 วัน ภาวะครรภ์เป็นพิษ ภาวะชักจากครรภ์เป็นพิษ และความรู้สึกของสตรีต่อการดูแล)
ผู้แปล ศ.นพ.ภิเศก ลุมพิกานนท์ ภาควิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น 27 กันยายน 2021