มาตรการส่งเสริมการใช้เข็มขัดนิรภัย

ใจความสำคัญ

– เราพบหลักฐานบางประการแนะนำว่า การให้การศึกษา (การประเมินพฤติกรรมและความเสี่ยงด้านสุขภาพ (HRA)) และวิธีการเชิงวิศวกรรมอาจส่งเสริมการใช้เข็มขัดนิรภัยในวัยรุ่นและผู้ใหญ่ตอนต้นและตอนปลาย อย่างไรก็ตาม เราไม่มั่นใจในหลักฐานที่มีอยู่

– จำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อให้เข้าใจถึงประสิทธิผลของวิธีการด้านการศึกษาและวิศวกรรมต่อการใช้เข็มขัดนิรภัยให้ดียิ่งขึ้น

– จำเป็นต้องมีการวิจัยคุณภาพสูงเพื่อตรวจสอบประโยชน์ของแรงจูงใจ (เพียงอย่างเดียวหรือรวมกับวิธีการอื่น ๆ) เช่นเดียวกับวิธีการประเภทอื่น ๆ การผสมผสานของวิธีการที่แตกต่างกัน และในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน

ทำไมการคาดเข็มขัดนิรภัยจึงมีความสำคัญ

ผู้คนจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กและผู้ใหญ่วัยหนุ่มสาว เสียชีวิตในแต่ละปีอันเป็นผลจากการบาดเจ็บจากการจราจรทางถนน ซึ่งบ่งชี้ว่าการบาดเจ็บดังกล่าวเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ โดยประมาณ 75% ของการเสียชีวิตจากการจราจรเกิดขึ้นในหมู่ชายหนุ่ม มีอีกหลายคนได้รับบาดเจ็บอย่างถาวรและบาดเจ็บสาหัส เข็มขัดนิรภัยได้รับการออกแบบมาเพื่อปกป้องผู้โดยสารจากการถูกกระแทกออกจากตัวรถ และกระจายแรงกระแทกไปยังส่วนที่อ่อนแอน้อยกว่าของร่างกายเพื่อลดการบาดเจ็บ การบังคับผ่านกฎหมายเพียงอย่างเดียวที่กำหนดให้ใช้เข็มขัดนิรภัยนั้นไม่เพียงพอที่จะส่งเสริมให้คาดเข็มขัดนิรภัย

เราต้องการค้นหาอะไร

เราตรวจสอบประสิทธิผลของการศึกษา สิ่งจูงใจ หรือวิธีการทางวิศวกรรม แต่ไม่ใช่การบังคับใช้กฎหมาย เพื่อสนับสนุนการใช้เข็มขัดนิรภัยและพิจารณาว่าวิธีการประเภทใดมีประสิทธิผลมากที่สุด วิธีการทางการศึกษาเป็นโปรแกรมที่มีโครงสร้างซึ่งสอนผู้ขับขี่และผู้โดยสารถึงความสำคัญของการใช้เข็มขัดนิรภัย วิธีการทางวิศวกรรมคือการเปลี่ยนแปลงการออกแบบโครงสร้างของยานพาหนะที่ส่งเสริมการคาดเข็มขัดนิรภัย เช่น สัญญาณเตือนคาดเข็มขัดนิรภัย ในขณะที่สิ่งจูงใจจะรวมถึงแผนการให้รางวัลด้วย

เราทำอะไร

เราค้นหาการศึกษาที่สุ่มจัดสรรผู้ที่เดินทางด้วยรถยนต์โดยสารหรือรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ให้ได้รับวิธีการที่มุ่งปรับปรุงการใช้เข็มขัดนิรภัย เราไม่รวมผู้ที่เดินทางด้วยยานพาหนะเพื่อการเกษตรหรือเกษตรกรรม เนื่องจากไม่ถือเป็นยานพาหนะเพื่อการพาณิชย์ ผู้ทบทวนวรรณกรรม 2 คนประเมินการศึกษาอย่างเป็นอิสระต่อกันเพื่อคัดการนำเข้าในการทบทวนวรรณกรรม เราบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับการออกแบบการศึกษา สถานที่ ผู้เข้าร่วม วิธีการที่ใช้ (intervention) และผลลัพธ์ ในแง่ของผลลัพธ์ เราพิจารณาความถี่ของการคาดเข็มขัดนิรภัย รวมถึงการบาดเจ็บและการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ เนื่องจากความแตกต่างระหว่างการศึกษาที่รวบรวมมา เราจัดทำบัญชีที่เป็นลายลักษณ์อักษรและประเมินว่าผลลัพธ์แต่ละรายการสามารถเชื่อถือได้มากน้อยเพียงใดโดยใช้การให้คะแนน เป็นระดับ คุณภาพสูง ปานกลาง ต่ำ หรือต่ำมาก ขึ้นอยู่กับความมั่นใจของเราในความน่าเชื่อถือของผลลัพธ์ เราสรุปผลการวิจัยและเปรียบเทียบผลการศึกษา

เราพบอะไร

เราพบการศึกษา 15 ฉบับ มีผู้เข้าร่วม 12,081 คน และการศึกษาที่กำลังดำเนินอยู่ 4 ฉบับ การศึกษา 13 ฉบับ ดำเนินการในสหรัฐอเมริกาและผู้เข้าร่วมจากสถานที่ต่างๆ (สถานที่ทำงาน โรงเรียน แผนกฉุกเฉิน ชุมชนที่พักอาศัยผู้เกษียณอายุ และสถานดูแลเบื้องต้น) และกลุ่มอายุที่แตกต่างกัน (ผู้ใหญ่ วัยรุ่นตอนปลายและวัยรุ่นตอนต้น และครอบครัวของเด็ก/วัยรุ่น และบิดามารดา/ผู้ปกครองตามกฎหมาย)

การศึกษา 12 ฉบับ ศึกษาวิธีการทางการศึกษาเพียงอย่างเดียว การศึกษา 1 ฉบับ ศึกษาเรื่องความรู้และสิ่งจูงใจ และอีก 2 ฉบับ ศึกษาวิธีการทางวิศวกรรม การศึกษาทั้งหมดที่รวบรวมมารายงานเกี่ยวกับความถี่ของการคาดเข็มขัดนิรภัย อย่างไรก็ตาม การศึกษาส่วนใหญ่ (12) รายงานผลลัพธ์นี้ผ่านการรายงานตนเองของผู้เข้าร่วม การศึกษาที่เหลือรายงานความถี่ของการคาดเข็มขัดนิรภัยผ่านระบบติดตามข้อมูลในรถยนต์ (การศึกษา 2 ฉบับ) และการสังเกต (การศึกษา 1 ฉบับ) การศึกษาที่รวบรวมไว้ไม่มีรายงานการบาดเจ็บและการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ

หลักฐานบางประการชี้ให้เห็นว่าวิธีการเชิงการให้การศึกษาและเชิงวิศวกรรมอาจส่งเสริมการใช้เข็มขัดนิรภัย อย่างไรก็ตาม เราไม่สามารถมั่นใจในหลักฐานปัจจุบันได้ สำหรับมาตรการที่อิงการให้การศึกษา หลักฐานแสดงให้เห็นว่าวิธีการที่ศึกษาพฤติกรรม (การสัมภาษณ์สร้างแรงบันดาลใจ การให้คำปรึกษาการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และข้อความเกี่ยวกับพฤติกรรม) และ HRA (เพียงอย่างเดียวหรือด้วยข้อมูลทางการศึกษาบวกสิ่งจูงใจ) อาจปรับปรุงการใช้เข็มขัดนิรภัยในวัยรุ่นตอนต้น วัยรุ่นตอนปลาย และผู้ใหญ่ หลักฐานแสดงให้เห็นว่าวิธีการทางวิศวกรรมอาจส่งเสริมการใช้เข็มขัดนิรภัยในวัยรุ่นตอนต้นและผู้ใหญ่

จำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อให้เข้าใจถึงประสิทธิผลของวิธีการด้านการศึกษาและด้านวิศวกรรมต่อการใช้เข็มขัดนิรภัยให้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ จำเป็นต้องมีการวิจัยคุณภาพสูงเพื่อตรวจสอบประโยชน์ของสิ่งจูงใจเพียงอย่างเดียวหรือร่วมกับวิธีการอื่นๆ เช่นเดียวกับการวิจัยเพื่อตรวจสอบวิธีการประเภทอื่นๆ การผสมผสานของวิธีการที่แตกต่างกันหรือในบริบทต่าง ๆ (เช่น ประเทศที่มีรายได้ต่ำและปานกลาง) และประชากร

ข้อจำกัดของหลักฐานคืออะไร

มีเพียงการศึกษา 2 ฉบับเท่านั้นที่พิจารณาวิธีการทางวิศวกรรมเพื่อปรับปรุงการใช้เข็มขัดนิรภัย และการศึกษาทั้งสองฉบับมีผู้เข้าร่วมจำนวนไม่มาก ซึ่งทำให้เป็นการท้าทายที่จะสรุปได้ว่าวิธีการเหล่านี้มีประโยชน์ การทดลองที่ศึกษาวิธีการทางการศึกษาเพื่อปรับปรุงการใช้เข็มขัดนิรภัยจะแตกต่างกันไปในแง่ของประเภทของวิธีการที่ใช้ คุณภาพ จำนวนและประเภทของผู้คนในการศึกษา ฯลฯ การศึกษารวมถึงเด็ก วัยรุ่น และผู้ใหญ่ อย่างไรก็ตาม วิธีการที่มีประสิทธิผลสูงสุดสำหรับประชากรแต่ละกลุ่มยังไม่ชัดเจน ความเชื่อมั่นของเราต่อหลักฐานอยู่ในระดับต่ำหรือปานกลาง สาเหตุหลักมาจากผลลัพธ์ (การคาดเข็มขัดนิรภัย) ที่วัดโดยการรายงานตนเองของผู้เข้าร่วม ผลลัพธ์ที่รายงานด้วยตนเองทำให้มีอิทธิพลจากผู้เข้าร่วมในการตอบในลักษณะที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นที่น่าพอใจ หรือจากการที่ผู้เข้าร่วมจำได้จำกัดเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่กำลังศึกษา ไม่มีการศึกษาที่รวบรวมไว้ทำในประเทศที่มีการเสียชีวิตและการบาดเจ็บที่เกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุทางถนนสูงที่สุด

หลักฐานนี้เป็นปัจจุบันแค่ไหน

ข้อมูลเป็นปัจจุบันจนถึงเดือนสิงหาคม 2022

ข้อสรุปของผู้วิจัย: 

หลักฐานแสดงให้เห็นว่าวิธีการที่อิงการศึกษาด้านพฤติกรรมอาจส่งเสริมการใช้เข็มขัดนิรภัยและ HRA (รวมถึงสิ่งจูงใจ) โดยมีหรือไม่มีวิธีการอื่นเพิ่มเติมมีแนวโน้มที่จะส่งเสริมการใช้เข็มขัดนิรภัย ในทำนองเดียวกัน สำหรับวิธีการทางวิศวกรรมที่ใช้ระบบตรวจสอบข้อมูลในรถยนต์พร้อมการแจ้งเตือนในรถยนต์ โดยมีหรือไม่มีการแจ้งเตือน/ข้อเสนอแนะ หลักฐานบ่งชี้ว่าวิธีการทางวิศวกรรมอาจส่งเสริมการใช้เข็มขัดนิรภัย

RCT ที่ได้รับการออกแบบอย่างดีเป็นสิ่งจำเป็นในการตรวจสอบประสิทธิผลของการให้การศึกษาและวิธีการทางวิศวกรรมเพิ่มเติม การทดลองคุณภาพสูงที่ตรวจสอบผลประโยชน์ที่เป็นไปได้ของสิ่งจูงใจในการส่งเสริมการใช้เข็มขัดนิรภัย ไม่ว่าจะโดยลำพังหรือร่วมกับมาตรการอื่น ๆ เช่นเดียวกับการทดลองเพื่อตรวจสอบวิธีการประเภทอื่น ๆ (เช่น เทคโนโลยี สื่อ/การประชาสัมพันธ์ การบังคับใช้ แผนประกันภัย โครงการของนายจ้าง ฯลฯ) จำเป็นต้องมีเพื่อส่งเสริมการใช้เข็มขัดนิรภัย หลักฐานจากประเทศที่มีรายได้ต่ำและปานกลางเป็นสิ่งจำเป็นในการนำข้อมูลไปใช้ทั่วไป นอกจากนี้ จำเป็นต้องมีการวิจัยที่มุ่งเน้นไปที่การกำหนดว่าวิธีการใดหรือประเภทของวิธีการแบบใดที่มีประสิทธิผลมากที่สุดในกลุ่มประชากรที่แตกต่างกัน

อ่านบทคัดย่อฉบับเต็ม
บทนำ: 

ในแต่ละปีมีผู้เสียชีวิตกว่า 1.3 ล้านคนเนื่องจากอุบัติเหตุรถชนกัน และอีกนับแสนคนได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างถาวร การเสียชีวิตเหล่านี้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในประเทศที่มีรายได้ต่ำและปานกลาง ซึ่งอัตราการเสียชีวิตอาจสูงกว่าประเทศที่มีรายได้สูงบางประเทศถึง 10 เท่า เข็มขัดนิรภัยได้รับการออกแบบมาเพื่อทำหน้าที่หลัก 2 ประการ ได้แก่ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้โดยสารถูกดีดออกจากตัวรถด้วยแรงกระแทก และเพื่อยืดระยะเวลาที่แรงชะลอความเร็วจะส่งผลต่อบุคคล เข็มขัดนิรภัยยังช่วยกระจายพื้นที่รับแรงกระแทกไปยังส่วนที่ใหญ่ขึ้นและส่วนที่เปราะบางน้อยกว่าของร่างกาย นับตั้งแต่ทศวรรษ 1950 เป็นต้นมา เข็มขัดนิรภัยได้รับการติดตั้งจากโรงงานในรถยนต์ส่วนใหญ่ และในปัจจุบัน ประมาณ 90% ของประเทศที่มีรายได้สูงได้นำกฎหมายรัดเข็มขัดนิรภัยมาใช้ ซึ่งกำหนดให้ผู้ขับขี่รถยนต์ส่วนใหญ่หรือทั้งหมดต้องคาดเข็มขัดนิรภัย อย่างไรก็ตาม การผ่านกฎหมายอย่างง่าย ๆ นั้นไม่เพียงพอต่อการใช้เข็มขัดนิรภัย และแม้ว่าการบังคับใช้กฎหมายเข็มขัดนิรภัยจะช่วยเพิ่มการใช้เข็มขัดนิรภัย แต่ก็มีการพัฒนามาตรการอื่น ๆ เพื่อส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมโดยสมัครใจและยั่งยืน

วัตถุประสงค์: 

เพื่อประเมินประโยชน์ของการแทรกแซงเพื่อเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม (การให้การศึกษา สิ่งจูงใจ วิศวกรรม หรือการผสมผสาน แต่ไม่เน้นการบังคับใช้) ที่ส่งเสริมการใช้เข็มขัดนิรภัย และเพื่อพิจารณาว่ามาตรการประเภทใดมีประสิทธิผลมากที่สุด

วิธีการสืบค้น: 

ในวันที่ 9 สิงหาคม 2022 เราทำการสืบค้น Cochrane Central Register of Controlled Trials (CENTRAL), OvidSP Embase, OvidSP MEDLINE, ฐานข้อมูลอื่นๆ 14 รายการ และทะเบียนการทดลองทางคลินิก นอกจากนี้เรายังคัดกรองรายการอ้างอิงและการดำเนินการประชุม ค้นหาเว็บไซต์ขององค์กรที่เกี่ยวข้อง และติดต่อผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางถนน การค้นหาดำเนินการโดยไม่มีข้อจำกัดในด้านภาษาและวันที่ตีพิมพ์

เกณฑ์การคัดเลือก: 

เรารวมการทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุม (RCTs) ทั้งแบบแยกเดี่ยวและแบบคลัสเตอร์ ซึ่งประเมินการศึกษา วิศวกรรม มาตรการจูงใจ (หรือการผสมผสาน) ที่ส่งเสริมการใช้เข็มขัดนิรภัย

การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล: 

ผู้ทบทวน 2 คนประเมินคุณสมบัติของ RCT ประเมินความเสี่ยงของอคติ และดึงข้อมูลอย่างเป็นอิสระต่อกัน เราดำเนินการสังเคราะห์เชิงบรรยายตามทิศทางของผลกระทบเนื่องจากความแตกต่างที่สังเกตได้ระหว่าง RCT และรายงานการสังเคราะห์ตามแนวทางการรายงานสำหรับการทบทวนอย่างเป็นระบบโดยไม่มีการวิเคราะห์เมตต้า ตามความเหมาะสม เราประเมินความเชื่อมั่นของหลักฐานโดยใช้วิธี GRADE เราวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับผลลัพธ์หลัก ความถี่ของการคาดเข็มขัดนิรภัย ไม่มี RCT ที่รวมไว้ที่รายงานผลลัพธ์หลักอื่นๆ อัตราการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุหรือผลลัพธ์รอง อัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุที่น่าสนใจในการทบทวนนี้

ผลการวิจัย: 

เรารวม RCT ที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว 15 ฉบับ (RCT แบบ individual, parallel-group 12 ฉบับ และ cluster-RCTs 3 ฉบับ) ซึ่งมีผู้เข้าร่วม 12,081 คน ตีพิมพ์ระหว่างปี 1990 ถึง 2022 มีการเผยแพร่การทดลอง 4 ฉบับระหว่างปี 2019 ถึง 2022 และการทดลองที่เหลือได้รับการตีพิมพ์เมื่อ 10 ปีที่แล้วหรือนานกว่านั้น เรายังพบ RCT ที่กำลังดำเนินอยู่ 4 ฉบับด้วย มีการดำเนินการ RCT 13 ฉบับ ในสหรัฐอเมริกา การทดลองคัดเลือกผู้เข้าร่วมจากสถานที่ต่างๆ (สถานที่ทำงาน โรงเรียน แผนกฉุกเฉิน ชุมชนเกษียณอายุ และสถานพยาบาลปฐมภูมิ) และกลุ่มอายุต่างๆ (ผู้ใหญ่ วัยรุ่นตอนปลาย วัยรุ่นตอนต้น และวัยครอบครัว) การทดลอง 13 ฉบับ ตรวจสอบวิธีการด้านการศึกษา (educational interventions) โดยหนึ่งในนี้ใช้การศึกษานอกเหนือจากสิ่งจูงใจ (หนึ่งในกลุ่มทดลอง) วัดผลผ่านการรายงานตนเองของผู้เข้าร่วม (12) และการสังเกต (1) และการทดลอง 2 ฉบับ ตรวจสอบสิ่งแทรกแซงทางวิศวกรรมที่วัดผ่านในยานพาหนะ ระบบติดตามข้อมูลในช่วงติดตามผลต่างๆ (6 สัปดาห์ถึง 36 เดือน)

เราจัดกลุ่ม RCTs ตามประเภทของวิธีการที่ใช้ที่อิงการศึกษา ได้แก่ อิงการศึกษาด้านพฤติกรรม การประเมินความเสี่ยงด้านสุขภาพ (HRA) และวิธีการที่อิงการศึกษาอื่นๆ หลักฐานแสดงให้เห็นว่าวิธีการที่อิงการศึกษาด้านพฤติกรรม (การทดลอง 4 ฉบับ) อาจส่งเสริมการใช้เข็มขัดนิรภัย และการประเมินความเสี่ยงด้านสุขภาพ (HRA) (การทดลอง 1 ฉบับ) น่าจะส่งเสริมการใช้เข็มขัดนิรภัยในระยะสั้น (6 สัปดาห์ถึง 9 เดือน) การทดลอง 4 ใน 6 ฉบับที่ศึกษาวิธีการที่เน้นการศึกษาเชิงพฤติกรรม พบว่าวิธีการนี้เมื่อเทียบกับการไม่ใช้วิธีการใด ๆ หรือวิธีการอื่น ๆ อาจส่งเสริมการใช้เข็มขัดนิรภัย ผลกระทบเหล่านี้วัดผ่านการรายงานตนเองของผู้เข้าร่วมและ ณ จุดเวลาต่างๆ (การติดตามผล 6 สัปดาห์ถึง 12 เดือน) (หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำ) การทดลอง 1 ใน 3 ที่ศึกษาวิธี HRA เท่านั้นหรือมีการใช้วิธีอื่นร่วมด้วย เทียบกับไม่มีการใช้วิธีการใด ๆ หรือใช้วิธีการอื่น ๆ แสดงให้เห็นผลที่สังเกตได้ว่ามีแนวโน้มที่จะส่งเสริมการใช้เข็มขัดนิรภัย (หลักฐานความเชื่อมั่นปานกลาง)

หลักฐานแสดงให้เห็นว่าวิธีการทางวิศวกรรมโดยใช้ระบบติดตามยานพาหนะ (พร้อมการแจ้งเตือนในรถยนต์และมีหรือไม่มีการแจ้งเตือน/ข้อเสนอแนะ) อาจส่งเสริมการใช้เข็มขัดนิรภัย การทดลองหนึ่งแสดงให้เห็นว่าวิธีการทางวิศวกรรม (การแจ้งเตือนในรถและการตอบรับ) อาจส่งเสริมการใช้เข็มขัดนิรภัย ในขณะที่อีกการทดลองหนึ่งแสดงให้เห็นผลลัพธ์ที่ไม่ชัดเจนใน 2 จาก 3 กลุ่มทดลอง (หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำ) การทดลองทั้งสองมีขนาดตัวอย่างน้อยและมีการใช้เข็มขัดนิรภัยก่อนทดลองสูงอยู่แล้ว

บันทึกการแปล: 

แปลโดย พญ.วิลาสินี หน่อแก้ว โรงพยาบาลมะเร็งอุบลราชธานี Edit โดย พ.ญ. ผกากรอง ลุมพิกานนท์ 14 สิงหาคม 2024

Tools
Information