การจัดการความเครียดแบบใช้คอมพิวเตอร์เปรียบเทียบกับใช้กับบุคคลโดยตรงสำหรับคนทำงาน

วัตถุประสงค์ของการทบทวนวรรณกรรมนี้คืออะไร

เราต้องการตรวจสอบว่าโปรแกรมการจัดการความเครียดในที่ทำงานมีผลต่างกันหรือไม่หากได้รับผ่านคอมพิวเตอร์เปรียบเทียบกับการให้กับบุคคลโดยตรง เราทำการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลจากงานวิจัยที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเพื่อตอบข้อสงสัย เราพบการศึกษา 2 เรื่องที่ศึกษาผลของวิธีการนำเสนอในการลดความเครียดในคนทำงาน

ใจความสำคัญ

ผลของวิธีการจัดการต่อการลดความเครียดยังไม่ชัดเจน ควรทำการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อเปรียบเทียบโดยตรงของโปรแกรมการจัดการความเครียดที่เทียบเท่าระหว่างผ่านคอมพิวเตอร์และบุคคลโดยตรง การศึกษาในอนาคตน่าจะมีผลต่อข้อสรุปของการทบทวนนี้

การทบทวนวรรณกรรมนี้ศึกษาอะไร
นายจ้างหลายคนต้องการลดความเครียดของพนักงานและยินดีที่จะลงทุนในโครงการจัดการความเครียด มีการแสดงให้เห็นว่าโปรแกรมการจัดการความเครียดในที่ทำงานสามารถลดความเครียดในพนักงานไม่ว่าจะเป็นการทำผ่านทางคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์พกพาหรือบุคคลโดยตรง อย่างไรก็ตาม ยังไม่ชัดเจนว่าวิธีการจัดทำส่งผลกระทบต่อประสิทธิผลของโปรแกรมอย่างไร ดังนั้นเราจึงประเมินผลของวิธีการที่ใช้ (คอมพิวเตอร์หรือด้วยตนเอง) เพื่อลดความเครียดในคนงาน

ผลลัพธ์ของการทบทวนวรรณกรรมคืออะไร

เราพบการศึกษา 2 เรื่องที่เกี่ยวข้องกับพนักงาน 159 คนซึ่งดูระดับความเครียดของพนักงานหลังจากเสร็จสิ้นโปรแกรมการจัดการความเครียดบนคอมพิวเตอร์เมื่อเทียบกับพนักงานที่ได้รับเนื้อหาโปรแกรมเดียวกันจากบุคคล การศึกษาทั้ง 2 เรื่องสอนผู้เข้าร่วมทั้งรายบุคคลหรือเป็นกลุ่มย่อยวิธีการรับรู้และลดความเครียด แต่มีผลลัพธ์ที่ขัดแย้งกัน

ความเป็นปัจจุบันของการทบทวนวรรณกรรมนี้

เราค้นหาการศึกษาที่ได้รับการตีพิมพ์จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2017

ข้อสรุปของผู้วิจัย: 

เราพบหลักฐานคุณภาพต่ำมากที่ผลลัพธ์ขัดแย้งกันเมื่อเปรียบเทียบประสิทธิผลของวิธีการจัดการความเครียดโดยใช้คอมพิวเตอร์กับวิธีการจัดการความเครียดโดยใช้บุคคล เราสามารถรวมการศึกษาได้เพียง 2 เรื่อง ซึ่งมีขนาดตัวอย่างเล็ก เรามีความเชื่อมั่นน้อยมากในการประเมินผลลัพธ์ เป็นไปได้มากว่าการศึกษาในอนาคตจะเปลี่ยนข้อสรุปเหล่านี้

อ่านบทคัดย่อฉบับเต็ม
บทนำ: 

การได้รับความเครียดแบบเรื้อรังมีการเชื่อมโยงกับผลลัพธ์ด้านสุขภาพทางร่างกายและจิตใจในทางลบหลายประการ ในหมู่พนักงาน ความเครียดและผลกระทบที่เกี่ยวข้องอาจทำให้สูญเสียผลผลิตและค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพที่สูงขึ้น วิธีการจัดการความเครียดด้วยบุคคล (แบบเห็นหน้า) และทางคอมพิวเตอร์ (บนเว็บและอุปกรณ์เคลื่อนที่) แสดงให้เห็นว่ามีประสิทธิผลในการลดความเครียดในพนักงานเมื่อเทียบกับการไม่มีการกระทำ อย่างไรก็ตามยังไม่มีความชัดเจนว่ารูปแบบของวิธีการูปแบบหนึ่งมีประสิทธิผลมากกว่ารูปแบบอื่นหรือไม่ เป็นไปได้ว่าวิธีการที่ใช้คอมพิวเตอร์ สามารถเข้าถึงได้มากกว่า สะดวก และความคุ้มค่า

วัตถุประสงค์: 

เพื่อเปรียบเทียบผลของวิธีการที่ใช้คอมพิวเตอร์กับวิธีการที่ใช้บุคคลโดยตรงเพื่อป้องกันและลดความเครียดในคนทำงาน

วิธีการสืบค้น: 

เราสืบค้นใน CENTRAL, MEDLINE, PubMed, Embase, PsycINFO, NIOSHTIC, NIOSHTIC-2, HSELINE, CISDOC และฐานการลงทะเบียนการทดลอง 2 ฐานจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2017

เกณฑ์การคัดเลือก: 

เราได้รวมการศึกษาแบบสุ่มที่มีกลุ่มเปรียบเทียบซึ่งเปรียบเทียบประสิทธิผลของวิธีการการจัดการความเครียดโดยใช้คอมพิวเตอร์ (โดยใช้เทคนิคใด ๆ ) กับวิธีการแบบตัวต่อตัวที่มีเนื้อหาเหมือนกัน เรารวมการศึกษาที่วัดความเครียดหรือความเหนื่อยหน่ายเป็นผลลัพธ์และใช้คนทำงานจากอาชีพใด ๆ เป็นผู้เข้าร่วม

การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล: 

ผู้ประพันธ์ 3 คนคัดกรองและคัดเลือกการศึกษาที่ไม่ซ้ำกัน 75 เรื่อง โดยอิสระต่อกัน สำหรับการตรวจสอบรายงานฉบับเต็มจากรายงาน 3431 ฉบับที่ได้จากการสืบค้น เราคัดการศึกษา 73 เรื่องออก ในขั้นตอนการประเมินเนื้อหาฉบับเต็ม เรารวบรวมการศึกษาได้ 2 เรื่อง ผู้ทบทวนวรรณกรรม 2 คนดึงข้อมูลจากการศึกษา 2 เรื่องอย่างอิสระต่อกัน เราติดต่อผู้ทำการศึกษาวิจัย หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม เราใช้ความแตกต่างของค่าเฉลี่ยมาตรฐาน (SMD) กับช่วงความเชื่อมั่น 95% (CIs) เพื่อรายงานผลการศึกษา เราไม่ได้ทำ meta-analysis เนื่องจากความแปรปรวนของผลลัพธ์หลักและความแตกต่างทางสถิติอย่างมาก ใช้เกณฑ์ของ GRADE ในการประเมินคุณภาพของหลักฐาน

ผลการวิจัย: 

การศึกษา 2 เรื่อง มีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์การคัดเลือกซึ่งมีผู้เข้าร่วมทั้งหมด 159 คน (ผู้เข้าร่วม 67 คน ในกลุ่มที่ใช้คอมพิวเตอร; ผู้เข้าร่วม 92 คน ในกลุ่มที่ใช้บุคคล) คนทำงานส่วนใหญ่เป็นคนผิวขาว Caucasian วัยกลางคนและได้รับการศึกษาระดับวิทยาลัย การศึกษาทั้งสองให้ความรู้เกี่ยวกับความเครียด สาเหตุและกลยุทธ์ในการลดความเครียด (เช่นการผ่อนคลายหรือการมีสติ) ผ่านคอมพิวเตอร์ ในกลุ่มที่ใช้คอมพิวเตอร์และผ่านการประชุมกลุ่มย่อยในกลุ่มที่ได้รับจากบุคคล (in-person arm) การศึกษาทั้งสองวัดความเครียดโดยใช้ระดับที่ต่างกันในการติดตามระยะสั้นเท่านั้น (น้อยกว่า 1 เดือน) เนื่องจากผลลัพธ์มีความแตกต่างกันมากเราจึงไม่สามารถรวมข้อมูลได้และเราวิเคราะห์ผลการศึกษาแยกกัน SMD ของระดับความเครียดในกลุ่มที่ใช้คอมพิวเตอร์คือ 0.81 ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานสูงกว่ากลุ่มที่ใช้บุคคลในการศึกษา 1 เรื่อง (95% CI 0.21 ถึง 1.41) และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.35 ต่ำกว่า (95% CI -0.76 ถึง 0.05) กว่า กลุ่มที่ใช้บุคคล ในการศึกษาอีกเรื่องหนึ่ง เราตัดสินว่างานวิจัยทั้ง 2 เรื่องมีความเสี่ยงของการมีอคติสูง

บันทึกการแปล: 

แปลโดย ศ.นพ.ภิเศก ลุมพกานนท์ ภาควิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น 9 สิงหาคม 2020

Tools
Information