เลนส์แว่นตากรองแสงสีน้ำเงินเพื่อการมองเห็น การปกป้องจอประสาทตา (ส่วนหลังของดวงตา) และปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับ

จุดประสงค์ของการทบทวนวรรณกรรมนี้คืออะไร

การทบทวนวรรณกรรม Cochrane นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบประโยชน์ที่เป็นไปได้และความปลอดภัยของเลนส์แว่นตากรองแสงสีน้ำเงินหรือที่เรียกว่าเลนส์แว่นตากรองแสงสีน้ำเงิน ต่อประสิทธิภาพการมองเห็น การป้องกันจอประสาทตา และคุณภาพการนอนหลับ ผู้ประพันธ์ Cochrane Review รวบรวมและวิเคราะห์การศึกษาที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเพื่อสรุปหลักฐานการวิจัยที่ดีที่สุดที่มีอยู่

ใจความสำคัญ

เลนส์กรองแสงสีน้ำเงินอาจไม่ช่วยลดอาการปวดตาในระยะสั้นที่เกี่ยวข้องกับการทำงานคอมพิวเตอร์ได้ เมื่อเทียบกับเลนส์กรองแสงที่ไม่ใช่สีน้ำเงิน ผลกระทบที่เป็นอันตรายที่อาจเกิดขึ้นเกิดขึ้นชั่วคราวและโดยทั่วไปไม่รุนแรง และส่วนใหญ่คิดว่าเกี่ยวข้องกับแว่นตาโดยทั่วไปมากกว่าโดยเฉพาะตัวเลนส์

จำเป็นต้องมีการวิจัยในอนาคตเพื่อแสดงหลักฐานเกี่ยวกับผลของเลนส์กรองแสงสีน้ำเงินต่อประสิทธิภาพการมองเห็นและการนอนหลับหลายประการ รวมถึงระดับการมองเห็น (การมองเห็นที่แก้ไขได้ดีที่สุด) ความสามารถในการตรวจจับความแตกต่างในการแรเงาและรูปแบบ (contrast sensitivity), การเลือกสี, การลด glare เนื่องจากแสงจ้า (discomfort glare), สุขภาพของจอประสาทตาด้านหลังดวงตา (สุขภาพของจอประสาทตา), การวัดการนอนหลับ (รวมถึงระดับเมลาโทนินในเลือดและคุณภาพการนอนหลับ) และความพึงพอใจของผู้ป่วย

สิ่งที่ศึกษาในการทบทวนวรรณกรรมนี้

มาตรการหลักคือการเปลี่ยนแปลงในการรับรู้และการประเมินเชิงปริมาณของความเมื่อยล้าของดวงตา โดยวัดหลังจากใช้เลนส์อย่างน้อย 1 เดือน การประเมินอื่นๆ พิจารณามาตรการทางคลินิกและผลข้างเคียงหลายประการ

ผลลัพธ์หลักของการทบทวนวรรณกรรมคืออะไร

เรารวม 17 การศึกษา ที่คัดเลือกคน 619 คน และเกิดขึ้นใน 6 ประเทศ การทบทวนวรรณกรรมแสดงให้เห็นดังต่อไปนี้

(i) การใช้เลนส์กรองแสงสีน้ำเงินอาจไม่มีข้อดีในระยะสั้นเพื่อลดความเมื่อยล้าทางการมองเห็นเมื่อใช้คอมพิวเตอร์ เมื่อเทียบกับเลนส์กรองแสงที่ไม่ใช่สีน้ำเงิน

(ii) มีข้อมูลที่จำกัดเกี่ยวกับผลที่อาจเกิดขึ้นจากเลนส์กรองแสงสีน้ำเงินต่อการมองเห็น และผลที่เกี่ยวข้องกับการนอนหลับยังไม่ชัดเจน หลักฐานที่มีอยู่เกี่ยวกับมาตรการเหล่านี้ยังไม่สามารถสรุปได้

(iii) ไม่มีการศึกษาที่รวมไว้ใดที่ตรวจสอบ contrast sensitivity การเลือกสี discomfort glare สุขภาพของจอประสาทตา ระดับเมลาโทนินในซีรั่ม หรือความพึงพอใจในการมองเห็นโดยรวมของผู้ป่วย ไม่สามารถสรุปผลเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ได้

(iv) มีหลักฐานบางอย่างที่แสดงว่าผลเสียที่อาจเกี่ยวข้องกับการใช้เลนส์กรองแสงสีน้ำเงิน ได้แก่ อาการปวดหัว (1 การศึกษา, 8%), อาการซึมเศร้าเพิ่มขึ้น (1 การศึกษา, 17%), อารมณ์ลดลง (1 การศึกษา, 5% ) และความรู้สึกไม่สบายขณะสวมแว่นตา (2 การศึกษา (รวมกัน) 22%) แม้ว่าจะมีรายงานผลข้างเคียงที่คล้ายกันเมื่อใช้เลนส์กรองแสงสีน้ำเงินและไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะวัดหรือระบุผลอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างเชื่อมั่น

การทบทวนวรรณกรรมนี้เป็นปัจจุบันแค่ไหน

ผู้แต่ง Cochrane Review ค้นหาการศึกษาที่ได้รับการตีพิมพ์จนถึงวันที่ 22 มีนาคม 2022

ข้อสรุปของผู้วิจัย: 

การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบนี้พบว่าเลนส์แว่นตากรองแสงสีน้ำเงินอาจไม่บรรเทาอาการเมื่อยล้าตาเมื่อใช้คอมพิวเตอร์ ในระยะเวลาติดตามผลระยะสั้น เมื่อเปรียบเทียบกับเลนส์กรองแสงที่ไม่ใช่แสงสีน้ำเงิน นอกจากนี้ การทบทวนวรรณกรรมนี้ไม่พบความแตกต่างที่มีนัยสำคัญทางคลินิกในการเปลี่ยนแปลงของ CFF ด้วยเลนส์กรองแสงสีน้ำเงิน เมื่อเปรียบเทียบกับเลนส์กรองแสงที่ไม่ใช่สีน้ำเงิน จากหลักฐานที่ดีที่สุดที่มีอยู่ในปัจจุบัน อาจมีผลเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลยของเลนส์กรองแสงสีน้ำเงินต่อ BCVA เมื่อเทียบกับเลนส์กรองแสงที่ไม่ใช่สีน้ำเงิน ผลที่อาจเกิดขึ้นต่อคุณภาพการนอนหลับยังไม่แน่นอน โดยมีการทดลองที่รายงานผลลัพธ์ที่หลากหลายในกลุ่มประชากรที่ศึกษาต่างกัน ไม่มีหลักฐานจากสิ่งพิมพ์ RCT ที่เกี่ยวข้องกับผลลัพธ์ของ contrast sensitivity, การเลือกสี แสงจ้าที่ไม่สบาย สุขภาพของจอประสาทตา ระดับเมลาโทนินในซีรั่ม หรือความพึงพอใจในการมองเห็นโดยรวมของผู้ป่วย การทดลองแบบสุ่มคุณภาพสูงในอนาคตจำเป็นต้องระบุอย่างชัดเจนมากขึ้นถึงผลของเลนส์กรองแสงสีน้ำเงินที่มีต่อประสิทธิภาพการมองเห็น สุขภาพจอประสาทตา และการนอนหลับในประชากรผู้ใหญ่

อ่านบทคัดย่อฉบับเต็ม
บทนำ: 

'การกรองแสงสีน้ำเงิน' หรือ 'การปิดกั้นแสงสีน้ำเงิน' เลนส์แว่นตากรองรังสีอัลตราไวโอเลตและการเปลี่ยนแปลงส่วนต่าง ๆ ของความยาวคลื่นสั้นแสงที่มองเห็นจากการเข้าถึงดวงตา เลนส์กรองแสงสีน้ำเงินมีจำหน่ายทั่วไป มีการกล่าวอ้างบางประการว่าสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพการมองเห็นในการใช้อุปกรณ์ดิจิทัล ให้การปกป้องจอประสาทตา และส่งเสริมคุณภาพการนอนหลับ เราตรวจสอบหลักฐานการทดลองทางคลินิกสำหรับผลที่แนะนำเหล่านี้ และพิจารณาผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น

วัตถุประสงค์: 

เพื่อประเมินผลของเลนส์กรองแสงสีน้ำเงินเมื่อเปรียบเทียบกับเลนส์กรองแสงที่ไม่ใช่สีน้ำเงิน เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการมองเห็น ให้การปกป้องจอประสาทตา และปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับในผู้ใหญ่

วิธีการสืบค้น: 

เราสืบค้นจาก Cochrane Central Register of Controlled Trials (CENTRAL ประกอบด้วย Cochrane Eyes and Vision Trials Register ปี 2022, ฉบับที่ 3), Ovid MEDLINE, Ovid Embase, การลงทะเบียน ISRCTN, ClinicalTrials.gov และ WHO ICTRP โดยไม่มีข้อจำกัดเรื่องวันที่และภาษา เราค้นหาฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2022

เกณฑ์การคัดเลือก: 

เรารวมการทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุม (RCTs) ที่เกี่ยวข้องกับผู้เข้าร่วมที่เป็นผู้ใหญ่ โดยเปรียบเทียบเลนส์แว่นตากรองแสงสีน้ำเงินกับเลนส์แว่นตากรองแสงที่ไม่ใช่สีน้ำเงิน

การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล: 

ผลลัพธ์หลักคือการเปลี่ยนแปลงของคะแนนความเมื่อยล้าทางการมองเห็นและความถี่ของ critical flicker-fusion (CFF) ซึ่งเป็นผลลัพธ์แบบต่อเนื่องระหว่างการตรวจวัดพื้นฐานและการติดตามผล 1 เดือน ผลลัพธ์รอง ได้แก่ best-corrected visual acuity (BCVA), contrast sensitivity, discomfort glare สัดส่วนของจอประสาทตาที่มีการค้นพบทางพยาธิวิทยา การแยกสี สัดส่วนของผู้เข้าร่วมที่มีการตื่นตัวในเวลากลางวันลดลง ระดับเมลาโทนินในซีรั่ม คุณภาพการนอนหลับ และความพึงพอใจของผู้ป่วยต่อการมองเห็นของพวกเขา เราประเมินผลการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับผลข้างเคียงทางตาและทั้งระบบ

เราปฏิบัติตามวิธีมาตรฐานของ Cochrane สำหรับการคัดลอกข้อมูลและประเมินความเสี่ยงของการเกิดอคติโดยใช้เครื่องมือ Cochrane Risk of Bias 1 (RoB 1) เราใช้ GRADE เพื่อประเมินความเชื่อมั่นของหลักฐานสำหรับแต่ละผลลัพธ์

ผลการวิจัย: 

เรารวม 17 RCTs โดยมีขนาดตัวอย่างผู้เข้าร่วมตั้งแต่ 5 ถึง 156 คน และระยะเวลาการติดตามผลตั้งแต่น้อยกว่า 1 วันถึง 5 สัปดาห์ ประมาณครึ่งหนึ่งของการทดลองที่รวมไว้ใช้การออกแบบแขนขนาน ที่เหลือใช้การออกแบบแบบครอสโอเวอร์ ลักษณะผู้เข้าร่วมมีความหลากหลายในการศึกษา ตั้งแต่ผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพดีไปจนถึงบุคคลที่มีสุขภาพจิตและความผิดปกติของการนอนหลับ

ไม่มีการศึกษาใดที่มีความเสี่ยงต่ำต่อการเกิดอคติในทั้ง 7 โดเมนของ Cochrane RoB 1 เราตัดสินว่า 65% ของการศึกษามีความเสี่ยงสูงต่ออคติเนื่องจากผู้ประเมินผลลัพธ์ไม่ถูกปกปิด (detection bias) และ 59% มีความเสี่ยงสูงต่อ performance bias เนื่องจากผู้เข้าร่วมและบุคลากรไม่ได้ถูกปกปิด 35% ของการศึกษาได้รับการลงทะเบียนล่วงหน้าในทะเบียนการทดลอง เราไม่ได้ทำ meta-analyses สำหรับการวัดผลลัพธ์ใดๆ เนื่องจากขาดข้อมูลเชิงปริมาณที่มีอยู่ ประชากรในการศึกษาที่แตกต่างกัน และความแตกต่างในระยะเวลาติดตามผล

อาจไม่มีความแตกต่างในคะแนนความล้าทางการมองเห็น ด้วยเลนส์กรองแสงสีน้ำเงิน เมื่อเทียบกับเลนส์กรองแสงที่ไม่ใช่สีน้ำเงิน ในการติดตามผลน้อยกว่า 1 สัปดาห์ (หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำ) 1 RCT รายงานว่าไม่มีความแตกต่างระหว่างกลุ่ม (ความแตกต่างเฉลี่ย (MD) 9.76 หน่วย (บ่งชี้ว่าอาการแย่ลง) ช่วงความเชื่อมั่น 95% (CI) -33.95 ถึง 53.47; ผู้เข้าร่วม 120 คน) นอกจากนี้ 2 การศึกษา (ผู้เข้าร่วมรวมกัน 46 คน) ที่วัดคะแนนความล้าทางสายตา รายงานว่าไม่มีความแตกต่างที่มีนัยสำคัญระหว่างกลุ่ม

CFF ด้วยเลนส์กรองแสงสีน้ำเงินอาจไม่แตกต่างเมื่อเทียบกับเลนส์กรองแสงที่ไม่ใช่สีน้ำเงิน โดยวัดที่การติดตามผลน้อยกว่า 1 วัน (หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำ) 1 การศึกษารายงานว่าไม่มีความแตกต่างที่มีนัยสำคัญระหว่างกลุ่ม (MD - 1.13 Hz ต่ำกว่า (บ่งชี้ถึงประสิทธิภาพที่ต่ำกว่า), 95% CI - 3.00 ถึง 0.74; ผู้เข้าร่วม 120 คน) อีก 1 การศึกษารายงานการเปลี่ยนแปลงเชิงลบน้อยกว่าใน CFF (บ่งบอกถึงความเมื่อยล้าทางสายตาน้อยลง) เมื่อเทียบระหว่างเลนส์กรองแสงสีน้ำเงินที่สูง กับ ต่ำและไม่มี

เมื่อเปรียบเทียบกับเลนส์กรองแสงที่ไม่ใช่สีน้ำเงิน เลนส์กรองแสงสีน้ำเงินอาจมีผลเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลยกับต่อประสิทธิภาพการมองเห็น (BCVA) (MD 0.00 logMAR หน่วย, 95% CI -0.02 ถึง 0.02; 1 การศึกษา ผู้เข้าร่วม 156 คน; หลักฐานความเชื่อมั่นปานกลาง) และไม่ทราบผลต่อการตื่นตัวในเวลากลางวัน (2 RCTs ผู้เข้าร่วม 42 คน; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำมาก) ความไม่เชื่อมั่นของผลเหล่านี้เกิดจากการขาดข้อมูล และมีการศึกษาจำนวนน้อยที่รายงานผลลัพธ์เหล่านี้ เราไม่ทราบว่าเลนส์แว่นตากรองแสงสีน้ำเงินเทียบเท่าหรือเหนือกว่าเลนส์แว่นตากรองแสงที่ไม่ใช่เลนส์สีน้ำเงินหรือไม่ในคุณภาพการนอนหลับ (หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำมาก) การค้นพบที่ไม่สอดคล้องกันปรากฏชัดใน 6 RCTs (ผู้เข้าร่วม 148 คน); 3 การศึกษา รายงานว่าคะแนนการนอนหลับดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญด้วยเลนส์กรองแสงสีน้ำเงิน เมื่อเทียบกับเลนส์กรองแสงที่ไม่ใช่สีน้ำเงิน และอีก 3 การศึกษา รายงานว่าไม่มีความแตกต่างที่มีนัยสำคัญระหว่างกลุ่ม เราสังเกตเห็นความแตกต่างในประชากรในการศึกษาและการขาดข้อมูลเชิงปริมาณ

ผลข้างเคียงที่เกี่ยวข้องกับอุปกรณ์ไม่ได้,ีการรายงานอย่างสม่ำเสมอ (9 RCTs ผู้เข้าร่วม 333 คน; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำ) 9 การศึกษารายงานเกี่ยวกับเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่เกี่ยวข้องกับวิธีการที่ใช้ในการศึกษา; 3 การศึกษาบรรยายถึงการเกิดขึ้นของเหตุการณ์ดังกล่าว เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่รายงานที่เกี่ยวข้องกับเลนส์กรองแสงสีน้ำเงินเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก แต่รวมถึงอาการซึมเศร้าที่เพิ่มขึ้น ปวดศีรษะ รู้สึกไม่สบายเมื่อสวมแว่นตา และอารมณ์ลดลง เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่เกี่ยวข้องกับเลนส์กรองแสงที่ไม่ใช่แสงสีน้ำเงินคืออารมณ์ร้ายเป็นครั้งคราว และรู้สึกไม่สบายเมื่อสวมแว่นตา

เราไม่สามารถระบุได้ว่าเลนส์กรองแสงสีน้ำเงินส่งผลต่อความไวของคอนทราสต์ การเลือกปฏิบัติสี แสงจ้าที่ไม่สบาย สุขภาพของจอประสาทตา ระดับเมลาโทนินในซีรั่ม หรือความพึงพอใจในการมองเห็นของผู้ป่วยโดยรวม เมื่อเปรียบเทียบกับเลนส์กรองแสงที่ไม่ใช่แสงสีน้ำเงิน เนื่องจากไม่มีการศึกษาใดที่ประเมินผลลัพธ์เหล่านี้

บันทึกการแปล: 

แปลโดย ศ.นพ.ภิเศก ลุมพิกานนท์ ภาควิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น 23 สิงหาคม 2023

Tools
Information