ใจความสำคัญ
- อาการความเครียดเฉียบพลันมักเกิดขึ้นภายหลังจากเผชิญเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจ โดยปกติแล้วจะหายได้ในระยะเวลาหนึ่ง อย่างไรก็ตาม สำหรับบางคน อาการเหล่านี้อาจยังคงอยู่หรือพัฒนาไปสู่ภาวะที่เรียกว่าโรคความเครียดหลังเผชิญเหตุการณ์สะเทือนใจ (PTSD) มีการเสนอให้ใช้ยาเพื่อป้องกัน PTSD ที่จะเกิดขึ้นตามมาในภายหลัง
- เราพบข้อมูลสำหรับยา 4 ชนิด: escitalopram ซึ่งเป็นยาแก้ซึมเศร้า; hydrocortisone ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ลดการตอบสนองของภูมิคุ้มกันและเกี่ยวข้องกับการตอบสนองของร่างกายต่อความเครียด; oxytocin ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สามารถลดการตอบสนองต่อความเครียด และ temazepam ซึ่งเป็นยาที่ใช้ลดความวิตกกังวล ยาทั้งหมดถูกเปรียบเทียบกับยาหลอก (dummy pills)
- สำหรับยาทั้งหมด ไม่ชัดเจนว่ามีผลกระทบต่อความน่าจะเป็นของการเกิด PTSD, ความรุนแรงของ PTSD หรือผลที่เป็นอันตรายใดๆ
อาการเครียดเฉียบพลันมีอะไรบ้าง
บุคคลที่เคยประสบเหตุการณ์กระทบกระเทือนจิตใจอาจแสดงอาการทางจิตใจ หรือที่เรียกว่า อาการความเครียดจากเหตุการณ์ที่กระทบจิตใจเฉียบพลัน หลังจากเกิดเหตุการณ์นั้นไม่นาน อาการเหล่านี้ได้แก่ ความทรงจำหรือฝันร้าย ไม่สามารถรู้สึกถึงอารมณ์เชิงบวก ความรู้สึกของความเป็นจริงที่เปลี่ยนแปลงไป ความพยายามที่จะหลีกเลี่ยงความทรงจำที่น่าวิตกหรือการเตือนความทรงจำถึงเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจ การรบกวนการนอนหลับ และการอยู่ในภาวะตื่นตัวมากขึ้นต่อภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น
เหตุใดจึงต้องให้ความสำคัญต่อโรคความเครียดหลังเผชิญเหตุการณ์สะเทือนใจ
อาการความเครียดจากการเผชิญเหตุการณ์สะเทือนใจเฉียบพลันมักจะหายไปเมื่อเวลาผ่านไป แต่สำหรับบางคน อาการจะคงอยู่หรือแย่ลงจนเกิดอาการ PTSD PTSD อาจส่งผลบั่นทอนชีวิตของผู้ที่ได้รับผลกระทบและคนที่พวกเขารัก
เราต้องการค้นหาอะไร
สำหรับผู้ที่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจและผู้ที่มีอาการความเครียดจากเหตุการณ์สะเทือนใจเฉียบพลัน ยาจะมีประสิทธิผลมากกว่ายาหลอก (ยาหลอก) หรือยาอื่นๆในเรื่อง:
- ลดความรุนแรงของอาการ PTSD ได้หรือไม่
- ลดจำนวนผู้ที่หยุดทานยาเพราะมีผลข้างเคียงหรือไม่
- ลดความน่าจะเป็นของการเกิด PTSD หรือไม่
- ลดผลกระทบต่อการทำกิจกรรมการใช้ชีวิตประจำวันหรือไม่
เราทำอะไร
เราค้นหาฐานข้อมูลทางวิทยาศาสตร์สำหรับการศึกษาที่ผู้เข้าร่วมเป็นผู้ใหญ่ได้รับการสุ่มให้รับประทานยาสำหรับรักษาอาการความเครียดเฉียบพลันที่เกิดจากการได้รับการกระทบกระเทือนจิตใจ เราพิจารณาเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจทุกประเภท
เราเปรียบเทียบและสรุปการศึกษาตามยาที่พวกเขาใช้ และจัดอันดับความเชื่อมั่นของเราในหลักฐานตามปัจจัยต่างๆ เช่น วิธีการศึกษาและขนาดการศึกษา เราพิจารณาข้อมูลที่รวบรวมในเวลา 3 เดือนหลังจากที่ผู้คนประสบกับเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจเพื่อหาผลลัพธ์หลัก เนื่องจากนี่เป็นช่วงเวลาที่สำคัญสำหรับแพทย์และผู้ป่วยในการตัดสินใจในการรักษาถ้าหากอาการพัฒนาไปจนถึง PTSD
เราพบอะไร
เรารวบรวมการศึกษา 8 ฉบับ มีผู้เข้าร่วม 779 คน การศึกษาวิจัยเกิดขึ้นในศูนย์อุบัติเหตุและแผนกฉุกเฉิน - เราพบข้อมูลสำหรับยาสี่ชนิด: escitalopram ซึ่งเป็นยาแก้ซึมเศร้า; hydrocortisone ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ลดการตอบสนองของภูมิคุ้มกันและเกี่ยวข้องกับการตอบสนองของร่างกายต่อความเครียด; oxytocin ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สามารถลดการตอบสนองต่อความเครียด และ temazepam ซึ่งเป็นยาที่ใช้ลดความวิตกกังวล ยาทั้งหมดถูกเปรียบเทียบกับยาหลอก
หลักฐานที่พบบอกอะไรเรา
จากการศึกษา 3 ฉบับ เราไม่ทราบว่าไฮโดรคอร์ติโซนเมื่อเทียบกับยาหลอกมีผลต่อความรุนแรงของอาการ PTSD, จำนวนผู้ที่เป็นโรค PTSD, คุณภาพชีวิต หรือความเสี่ยงในการหยุดยาเนื่องจากผลข้างเคียงหรือไม่ เราพบเพียงการศึกษาเดียวที่มีข้อมูลเกี่ยวกับ escitalopram และเราไม่ทราบถึงผลกระทบต่อความรุนแรงของ PTSD, จำนวนผู้ที่หยุดยาเนื่องจากผลข้างเคียง หรือจำนวนผู้ที่เป็นโรค PTSD ในทำนองเดียวกัน เราพบเพียงการศึกษาเดียวที่มีข้อมูลเกี่ยวกับการใช้ oxytocin ในจมูก โดยมีหลักฐานที่สรุปไม่ได้เกี่ยวกับผลกระทบต่อความรุนแรงของ PTSD การศึกษาเกี่ยวกับ temazepam ไม่ได้รวบรวมข้อมูลใน 3 เดือนหลังจากเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจ
ข้อจำกัดของหลักฐานคืออะไร
เรามีความมั่นใจน้อยหรือน้อยมากในหลักฐานเนื่องจากการศึกษามีน้อยและมีขนาดเล็ก
หลักฐานนี้เป็นปัจจุบันแค่ไหน
หลักฐานนี้เป็นข้อมูลล่าสุดจนถึงมกราคม 2023
การทบทวนนี้ให้หลักฐานที่ไม่แน่นอนเกี่ยวกับการใช้ escitalopram, hydrocortisone, oxytocin ในจมูก และ temazepam ในผู้ที่มีอาการความเครียดเฉียบพลัน ดังนั้นจึงไม่มีความชัดเจนว่าวิธีการทางเภสัชวิทยาเหล่านี้ส่งผลเชิงบวกหรือเชิงลบในประชากรกลุ่มนี้ สิ่งสำคัญคือต้องทราบว่าอาการความเครียดที่เกิดจากการเผชิญกับเหตุการณ์ที่กระเทือนจิตใจเฉียบพลันมักเกิดขึ้นและหายในเวลาที่จำกัด และการขาดข้อมูลทำให้ไม่สามารถประเมินอย่างรอบคอบถึงประโยชน์ที่คาดหวังและผลข้างเคียงซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็น
เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับผลลัพธ์ทั้งเชิงบวกและเชิงลบ จำเป็นต้องมีขนาดตัวอย่างที่ใหญ่ขึ้น กรอบการปฏิบัติงานทั่วไปของเกณฑ์สำหรับการรวมและการประเมินพื้นฐานอาจช่วยให้เข้าใจได้ดีขึ้นว่าใครจะได้ประโยชน์จากวิธีการที่ใช้ เนื่องจากความรุนแรงของอาการเพียงอย่างเดียวไม่ได้ทำให้ภาพรวมที่สมบูรณ์ของผลกระทบจากการเหตุการ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจ การประเมินคุณภาพชีวิตและ functional impairment จะให้ภาพที่ครอบคลุมมากขึ้นเกี่ยวกับผลกระทบของวิธีการที่ใช้ การประเมินและการรายงานผลข้างเคียงอาจช่วยให้เข้าใจถึงความยอมรับการใช้ยาได้ครอบคลุมมากขึ้น
อาการความเครียดจากเหตุการณ์สะเทือนใจเฉียบพลันอาจเกิดขึ้นได้ในผู้ที่เคยเผชิญกับเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจ แม้ว่าโดยปกติแล้วจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่จำกัดและหายได้ แต่บางคนก็เกิดโรคเครียดจากเหตุการณ์สะเทือนใจ (post-traumatic stress disorder; PTSD) ซึ่งเป็นภาวะที่รุนแรงและทำให้ร่างกายอ่อนแอลง มีการเสนอมาตรการทางเภสัชวิทยาสำหรับอาการที่เกิดขึ้นแบบเฉียบพลันเพื่อเป็นมาตรการป้องกันการเกิดขึ้นของ PTSD เนื่องจากคนส่วนใหญ่หายได้เอง วิธีการเหล่านี้จึงควรมีสมดุลระหว่างประสิทธิภาพและความสามารถในการยอมรับได้
เพื่อประเมินประสิทธิภาพและการยอมรับของวิธีการทางเภสัชวิทยาที่ให้ตั้งแต่เนิ่นๆสำหรับการป้องกัน PTSD ในผู้ใหญ่ทีมีอาการเมื่อเผชิญกับเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจ
เราสืบค้นใน Cochrane Common Mental Disorders Controlled Trial Register (CCMDCTR), CENTRAL, MEDLINE, Embase และฐานข้อมูลอื่นอีก 2 ฐานข้อมูล เราตรวจสอบรายการอ้างอิงของการศึกษาที่รวบรวมมาทั้งหมดและการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบที่เกี่ยวข้อง การค้นหาได้รับการปรับปรุงครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2023
เรารวมการทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุมในผู้ใหญ่ที่เผชิญกับเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจใดๆ และแสดงอาการความเครียดจากการกระทบกระเทือนจิตใจแบบเฉียบพลัน โดยไม่มีข้อจำกัดเกี่ยวกับความรุนแรงของอาการ เราพิจารณาการเปรียบเทียบยาใดๆ กับยาหลอกหรือยาอื่น เราไม่รวมการทดลองที่ตรวจสอบยาเพื่อเสริมการบำบัดทางจิต
เราใช้ระเบียบวิธีมาตรฐานของ Cochrane ใช้ random effects model เราวิเคราะห์ข้อมูล dichotomous เป็นอัตราส่วนความเสี่ยง (RR) และคำนวณจำนวนที่จำเป็นในการรักษาเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์/เป็นอันตรายเพิ่มเติม (NNTB/NNTH) เราวิเคราะห์ข้อมูล continuous เป็น mean differences (MD) หรือ standardised mean differences (SMD) ผลลัพธ์หลักของเราคือ ระดับความรุนแรงของ PTSD และการออกจากการศึกษาเนื่องจากเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ ผลลัพธ์รอง ได้แก่ อัตราการเกิด PTSD, functional disability (การสูญเสียความสามารถในการใช้ชีวิต) และคุณภาพชีวิต
เรารวบรวมการศึกษา 8 ฉบับ ที่พิจารณาวิธีการรักษา 4 วิธี (escitalopram, hydrocortisone, intranasal oxytocin, temazepam) และเกี่ยวข้องกับผู้เข้าร่วมทั้งหมด 779 คน การทดลองที่ใหญ่ที่สุดมีผู้เข้าร่วม 353 คน และผู้เข้าร่วมที่ใหญ่ที่สุดรองลงมาคือ 120 และ 118 คนตามลำดับ การทดลองนี้รวบรวมผู้เข้าร่วมที่เข้ารับการรักษาในศูนย์อุบัติเหตุหรือแผนกฉุกเฉิน ความเสี่ยงของการมีอคติในการศึกษาที่รวบรวมไว้โดยทั่วไปต่ำ ยกเว้นอัตราการออกจากการศึกษา ซึ่งเราจัดว่ามีความเสี่ยงของการมีอคติสูง เราสามารถวิเคราะห์เมตต้าสำหรับการเปรียบเทียบ 2 รายการ: escitalopram เทียบกับยาหลอก (แต่จำกัดเฉพาะผลลัพธ์รอง) และ hydrocortisone เทียบกับยาหลอก
การศึกษา 1 ฉบับ เปรียบเทียบ escitalopram กับยาหลอกที่ช่วงเวลาหลักของเราคือ 3 เดือนหลังจากเผชิญเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจ มีหลักฐานที่สรุปไม่ได้ว่ามีความแตกต่างในแง่ของความรุนแรงของ PTSD (ความแตกต่างเฉลี่ย (mean difference; MD) ตามแบบประเมิน Clinician-Administered PTSD (CAPS, ช่วงคะแนน 0 ถึง 136) -11.35, 95% ช่วงความเชื่อมั่น (CI) -24.56 ถึง 1.86; การศึกษา 1 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 23 คน; หลักฐานมีความเชื่อมั่นต่ำมาก), การออกจากการศึกษากลางคันเนื่องจากเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ (ไม่มีผู้เข้าร่วมออกจากการศึกษาก่อนกำหนดเนื่องจากเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์; การศึกษา 1 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 31 คน; หลักฐานมีความเชื่อมั่นต่ำมาก) และอัตราการเกิด PTSD (RR 0.59, 95% CI 0.03 ถึง 13.08; NNTB 37, 95% CI NNTB 15 ถึง NNTH 1; การศึกษา 1 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 23 คน; หลักฐานมีความเชื่อมั่นต่ำมาก) การศึกษานี้ไม่ได้ประเมิน functional disability หรือคุณภาพชีวิต
การศึกษา 3 ฉบับเปรียบเทียบ hydrocortisone กับยาหลอกที่ช่วงเวลาหลักของเราคือ 3 เดือนหลังจากเผชิญเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจ เราพบหลักฐานที่สรุปไม่ได้ว่า hydrocortisone มีประสิทธิผลมากกว่าในการลดความรุนแรงของอาการ PTSD เมื่อเทียบกับยาหลอกหรือไม่ (MD บน CAPS -7.53, 95% CI -25.20 ถึง 10.13; I 2 = 85%; การศึกษา 3 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 136 คน; หลักฐานมีความเชื่อมั่นต่ำมาก) และไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการลดความเสี่ยงของการเกิด PTSD หรือไม่ (RR 0.47, 95% CI 0.09 ถึง 2.38; NNTB 14, 95% CI NNTB 8 ถึง NNTH 5; I 2 = 36%; การศึกษา 3 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 136 คน; หลักฐานมีความเชื่อมั่นต่ำมาก) หลักฐานเกี่ยวกับความเสี่ยงของการออกจากการศึกษาเนื่องจากเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ไม่สามารถสรุปได้ (RR 3.19, 95% CI 0.13 ถึง 75.43; การศึกษา 2 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 182 คน; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำ) และไม่ชัดเจนว่า hydrocortisone ช่วยปรับปรุงคุณภาพชีวิตหรือไม่ (MD ใน SF-36 (ช่วงคะแนน 0 ถึง 136 ค่าสูงคือดีกว่าดี) 19.70, 95% CI -1.10 ถึง 40.50; การศึกษา 1 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 43 คน; หลักฐานมีความเชื่อมั่นต่ำมาก) ไม่มีการศึกษาที่ประเมิน functional disability
แปลโดย พญ.วิลาสินี หน่อแก้ว โรงพยาบาลมะเร็งอุบลราชธานี Edit โดย พ.ญ. ผกากรอง ลุมพิกานนท์ 27 พฤศจิกายน 2024