ยาเพื่อเพิ่มระดับ fetal ฮีโมโกลบินและลดความจำเป็นในการถ่ายเลือดในผู้ที่เป็นโรคธาลัสซีเมียชนิดไม่ต้องถ่ายเลือดอย่างสมำ่เสมอ

คำถามของการทบทวนวรรณกรรม

ยาที่เพิ่มระดับฮีโมโกลบิน (HbF) ในผู้ที่มีโรคธาลัสซีเมียชนิดไม่พึ่งการถ่ายเลือด (NTDβT) ลดความจำเป็นในการถ่ายเลือดหรือไม่

ธาลัสซีเมียคืออะไร

ธาลัสซีเมียเป็นโรคเลือดที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม (สืบทอดมา) ซึ่งทำให้เกิดข้อบกพร่องในฮีโมโกลบินของผู้ใหญ่ (ส่วนประกอบที่นำออกซิเจนของเซลล์เม็ดเลือดแดง) นำไปสู่การทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดงและโรคโลหิตจางที่มีระดับความรุนแรงต่างกัน ภาวะโลหิตจางแบบถาวรอาจส่งผลต่อสุขภาพทั่วไปและลดคุณภาพชีวิตได้ ผู้ที่มีภาวะ NTDβT อาจต้องได้รับการถ่ายเลือดเป็นระยะเพื่อทดแทนเซลล์เม็ดเลือดแดง และอาจทำให้มีธาตุเหล็กส่วนเกินสะสมอยู่ในอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย ซึ่งส่งผลต่อการทำงาน

ผู้ที่มีภาวะ NTDβT จะมีระดับ HbF ที่สูงขึ้น (รูปแบบหลักของฮีโมโกลบินที่พบในระหว่างการพัฒนาของทารกก่อนคลอด) ซึ่งยังคงมีอยู่หลังคลอด ปริมาณ HbF ที่คงอยู่จะแตกต่างกันไป และผู้ที่มีระดับ HbF สูงกว่านั้นต้องการการถ่ายเลือดบ่อยน้อยกว่า

ตัวเหนี่ยวนำ HbF คืออะไร

ตัวเหนี่ยวนำ HbF เป็นสารที่เพิ่มระดับ HbF โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงของยีน ซึ่งอาจลดความจำเป็นในการถ่ายเลือดในผู้ที่เป็น NTDβT อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทราบว่าตัวเหนี่ยวนำ HbF ชนิดใดมีประสิทธิผลและปลอดภัย และถ้าเป็นเช่นนั้น ขนาดที่เหมาะสมที่สุดคือเท่าใด และควรเริ่มการรักษาเมื่ออายุเท่าใด

เราทำอะไร

เราค้นหาฐานข้อมูลทางการแพทย์สำหรับการศึกษาเปรียบเทียบตัวเหนี่ยวนำ HbF ตัวเดียวกับยาหลอก (การรักษาหลอก) หรือการดูแลตามปกติ กับตัวเหนี่ยวนำอื่นหรือตัวเหนี่ยวนำร่วมกัน หรือเปรียบเทียบขนาดที่แตกต่างกันสำหรับตัวเหนี่ยวนำเดียวกัน

เราพบอะไร

เราพบ 7 การทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุมขนาดเล็กมาก (ซึ่งผู้ที่เข้าร่วมการทดลองมีโอกาสเท่าเทียมกันในการได้รับการรักษาหรืออยู่ในกลุ่มควบคุม) ซึ่งมีผู้ป่วย NTDβT จำนวน 291 คน อายุระหว่าง 2 ถึง 49 ปี จาก 5 ประเทศ การศึกษาเหล่านี้มีความหลากหลายอย่างมากในประเภทของตัวเหนี่ยวนำ HbF ที่ตรวจสอบและการเปรียบเทียบ ขนาดและวิธีการรายงานผลลัพธ์ ระยะเวลาของการทดลองมีตั้งแต่ 2 ถึง 6 เดือน ตัวเหนี่ยวนำที่ใช้ ได้แก่ hydroxyurea, decitabine, HQK-1001, thalidomide, Radix Astragali, resveratrol, l-carnitine and combined natural preparation (CNP)

ผลลัพธ์หลัก

ไม่มีการศึกษาใดรายงานผลลัพธ์หลักของเราเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงความถี่ของการถ่ายเลือด

ตัวเหนี่ยวนำทั้งหมดอาจทำให้ฮีโมโกลบินและ HbF เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับยาหลอก แต่เราไม่แน่ใจเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างมาก

การศึกษา 4 ฉบับ เปรียบเทียบตัวเหนี่ยวนำตัวเดียวกับตัวเหนี่ยวนำอีกตัวหนึ่งในช่วง 3 ถึง 6 เดือน มีการเปลี่ยนแปลงกับฮีโมโกลบินและ HbF แต่เราไม่สามารถแน่ใจได้ว่าตัวเหนี่ยวนำ HbF ตัวเดียวหรือตัวเหนี่ยวนำ HbF ผสมกันจะทำงานได้ดีกว่าตัวอื่น

การศึกษา 2 ฉบับ แต่ละการศึกษาเปรียบเทียบขนาดที่แตกต่างกันของตัวเหนี่ยวนำเดียวกัน การให้ hydroxyurea ในขนาดที่ต่ำกว่าดูเหมือนจะเพิ่มระดับฮีโมโกลบินและ HbF มากกว่าขนาดที่สูงกว่า แต่เราไม่แน่ใจอย่างมาก การศึกษาอีก 1ฉบับ ใช้ขนาดของ HQK-1001 ที่แตกต่างกันสี่ขนาด แต่ไม่ได้มองหาความแตกต่างในผลของขนาดที่แตกต่างกันทั้งสี่นี้ต่อฮีโมโกลบินหรือ HbF

การศึกษา 2 ฉบับ เปรียบเทียบตัวเหนี่ยวนำ HbF สองตัวใช้ร่วมกันกับตัวเหนี่ยวนำ HbF ตัวเดียวเป็นเวลา 6 เดือน เราไม่แน่ใจอย่างมากว่าการใช้สองตัวร่วมกันหรือตัวเหนี่ยวนำตัวเดียวทำให้ฮีโมโกลบินดีขึ้นหรือไม่

ไม่มีการศึกษาใดรายงานว่าตัวเหนี่ยวนำ HbF มีผลต่อคุณภาพชีวิตหรือไม่

มีรายงานผลข้างเคียง (ไม่พึงประสงค์) สำหรับตัวกระตุ้น HbF แต่ละตัว แต่มีข้อมูลเพียงเล็กน้อยที่จะแนะนำเราเกี่ยวกับความปลอดภัยของสารเหล่านี้

ข้อจำกัดของหลักฐานคืออะไร

เหตุผลหลักที่เราไม่เชื่อมั่นอย่างมากเกี่ยวกับผลของตัวเหนี่ยวนำ HbF เป็นเพราะการศึกษาทั้งหมดมีขนาดเล็กมากและมีจุดอ่อนในการออกแบบ ไม่มีการศึกษาใดที่ใช้เวลานานพอที่จะให้ข้อมูลที่มีความหมายสำหรับผลลัพธ์จำนวนมากที่วัดได้

หลักฐานนี้ทันสมัยแค่ไหน

หลักฐานเป็นปัจจุบันถึง 21 สิงหาคม 2022

ข้อสรุปของผู้วิจัย: 

เราไม่แน่ใจว่าตัวเหนี่ยวนำ HbF ตัวใดในแปดตัวในการทบทวนวรรณกรรมนี้มีผลดีต่อผู้ที่มี NTDβT หรือไม่ สำหรับตัวเหนี่ยวนำ HbF แต่ละตัวเหล่านี้ เราพบการศึกษาขนาดเล็กเพียง 1 หรือมากที่สุด 2 การศึกษา ไม่มีข้อมูลว่าตัวกระตุ้น HbF เหล่านี้มีผลต่อผลลัพธ์หลักของเราหรือไม่ ซึ่งก็คือการถ่ายเลือด สำหรับผลลัพธ์หลักที่สอง ฮีโมโกลบิน อาจมีความแตกต่างเล็กน้อยระหว่างกลุ่ม แต่สิ่งเหล่านี้อาจไม่มีความหมายทางคลินิกและมีหลักฐานที่มีความเชื่อมั่นต่ำถึงต่ำมาก ข้อมูลเกี่ยวกับผลแทรกซ้อนและขนาดที่เหมาะสมมีจำกัด การศึกษา 5 ฉบับ กำลังรอการจัดหมวดหมู่ แต่ไม่มีการศึกษาใดที่ดำเนินการอยู่

อ่านบทคัดย่อฉบับเต็ม
บทนำ: 

เบต้าธาลัสซีเมียชนิดไม่ขึ้นกับการถ่ายเลือด (NTDβT) เป็นกลุ่มย่อยของความผิดปกติของฮีโมโกลบินที่สืบทอดมา ซึ่งมีลักษณะเด่นคือการผลิตที่ลดลงของสายโซ่เบต้าโกลบินของฮีโมโกลบินซึ่งนำไปสู่ภาวะโลหิตจางที่มีความรุนแรงต่างกัน แม้ว่าการถ่ายเลือดจะไม่จำเป็นสำหรับการมีชีวิตรอด แต่อาจจำเป็นเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนของโรคโลหิตจางเรื้อรัง เช่น การเจริญเติบโตที่บกพร่องและภาวะการแข็งตัวของเลือดง่ายกว่าปกติ ผู้ที่มีภาวะ NTDβT ยังพบภาวะธาตุเหล็กเกินเนื่องจากการดูดซึมธาตุเหล็กที่เพิ่มขึ้นจากแหล่งอาหาร ซึ่งจะเด่นชัดมากขึ้นในผู้ที่ต้องการการถ่ายเลือด

ผู้ที่มีระดับฮีโมโกลบินของทารกในครรภ์ (HbF) สูงกว่าพบว่าต้องการการถ่ายเลือดน้อยลง จึงนำไปสู่การเกิดขึ้นของการรักษาที่สามารถเพิ่มระดับฮีโมโกลบินได้ ตัวเหนี่ยวนำ HbF กระตุ้นการผลิต HbF โดยไม่เปลี่ยนแปลงโครงสร้างยีนใดๆ หลักฐานเกี่ยวกับประโยชน์และโทษที่เป็นไปได้ของตัวเหนี่ยวนำเหล่านี้มีความสำคัญต่อการตัดสินใจอย่างรอบรู้เกี่ยวกับการนำมาใช้

วัตถุประสงค์: 

เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิผลและความปลอดภัยของสิ่งต่อไปนี้ในการลดการถ่ายเลือดสำหรับผู้ที่เป็น NTDβT:

1. ตัวเหนี่ยวนำ HbF เทียบกับการดูแลตามปกติหรือยาหลอก

2. ตัวเหนี่ยวนำ HbF เดี่ยวเทียบกับตัวเหนี่ยวนำ HbF อีกตัว และ single dose กับอีก dose และ

3. การให้ตัวเหนี่ยวนำ HbF ร่วมกัน เทียบกับการดูแลตามปกติหรือยาหลอก หรือตัวเหนี่ยวนำ HbF เดี่ยว

วิธีการสืบค้น: 

เราใช้วิธีการค้นหามาตรฐานของ Cochrane วันที่ค้นหาล่าสุดคือ 21 สิงหาคม 2022

เกณฑ์การคัดเลือก: 

เรารวมการทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุม (RCTs) หรือ quasi-RCTs ที่เปรียบเทียบตัวเหนี่ยวนำ HbF เดี่ยวกับยาหลอกหรือการดูแลตามปกติ กับตัวเหนี่ยวนำ HbF ตัวเดียวตัวอื่นหรือตัวเหนี่ยวนำ HbF ร่วมกัน หรือการเปรียบเทียบปริมาณที่แตกต่างกันของตัวเหนี่ยวนำ HbF เดียวกัน

การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล: 

เราใช้วิธีมาตรฐานของ Cochrane ผลลัพธ์หลักของเราคือการถ่ายเลือดและระดับฮีโมโกลบิน ผลลัพธ์รองของเราคือระดับ HbF ผลที่ตามมาในระยะยาวของ NTDβT คุณภาพชีวิตและเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์

ผลการวิจัย: 

เรารวบรวม RCTs 7 ฉบับ ที่มีผู้ป่วย NTDβT จำนวน 291 คน อายุระหว่าง 2 ถึง 49 ปี จาก 5 ประเทศ เรารายงานการเปรียบเทียบ 10 รายการโดยใช้ตัวเหนี่ยวนำ HbF 8 ตัว (เภสัชวิทยา 4 ตัวและธรรมชาติ 4 ตัว): RCTs 3 ฉบับ เปรียบเทียบตัวเหนี่ยวนำ HbF ตัวเดียวกับยาหลอก และ RCTs 7 ฉบับ กับตัวเหนี่ยวนำ HbF ตัวอื่น ระยะเวลาของการรักษากินเวลาตั้งแต่ 56 วันถึง 6 เดือน การศึกษาส่วนใหญ่ไม่ได้รายงานขั้นตอนการสุ่มเพื่อเข้ากลุ่มการรักษาอย่างเพียงพอและวิธีการปกปิดทำได้สำเร็จหรือไม่

ตัวเหนี่ยวนำ HbF เทียบกับยาหลอกหรือการดูแลตามปกติ

ตัวเหนี่ยวนำ HbF 3 ตัว, HQK-1001, Radix Astragali หรือการเตรียมตามธรรมชาติแบบรวม 3-in-1 (CNP) ถูกนำมาเปรียบเทียบกับยาหลอก ไม่มีการเปรียบเทียบใดที่รายงานความถี่ของการถ่ายเลือด เราไม่แน่ใจว่า Radix Astragali และ CNP เพิ่มฮีโมโกลบินที่เวลา 3 เดือนหรือไม่ (ความแตกต่างเฉลี่ย (MD) 1.33 กรัม/เดซิลิตร, ช่วงความเชื่อมั่น 95% (CI) 0.54 ถึง 2.11; การศึกษา 1 ฉบับ, 2 การรักษา, ผู้เข้าร่วม 35 คน; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำมาก) เราไม่แน่ใจว่า Radix Astragali และ CNP มีผลใดๆ ต่อ HbF หรือไม่ (MD 12%, 95% CI −0.74% ถึง 24.75%; การศึกษา 1 ฉบับ, 2 การรักษา, ผู้เข้าร่วม 35 คน; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำมาก) มีการรายงานเฉพาะค่ามัธยฐานของระดับฮีโมโกลบินและ HbF สำหรับ HQK-1001

อาการไม่พึงประสงค์ที่รายงานสำหรับ HQK-1001 ได้แก่ อาการคลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ และปวดบริเวณเหนือหัวหน่าว ไม่มีผลข้างเคียงที่กำหนดไว้ล่วงหน้าสำหรับ Radix Astragali และ CNP

ตัวเหนี่ยวนำ HbF กับตัวเหนี่ยวนำ HbF ตัวอื่น

การศึกษา 4 ฉบับเปรียบเทียบตัวเหนี่ยวนำตัวเดียวกับตัวเหนี่ยวนำอีกตัวหนึ่งในช่วง 3 ถึง 6 เดือน การเปรียบเทียบรวมถึง hydroxyurea เทียบกับ resveratrol, hydroxyurea เทียบกับ thalidomide, hydroxyurea เทียบกับ decitabine และ Radix Astragali เทียบกับ CNP ไม่มีการศึกษาใดรายงานผลลัพธ์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้าเกี่ยวกับการถ่ายเลือด มีรายงานฮีโมโกลบินและ HbF สำหรับการเปรียบเทียบ Radix Astragali กับ CNP แต่เราไม่แน่ใจว่ามีความแตกต่างหรือไม่ (การศึกษา 1 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 24 คน; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำ)

ขนาดที่แตกต่างกันของตัวเหนี่ยวนำ HbF เดียวกัน

การศึกษา 2 ฉบับ เปรียบเทียบตัวเหนี่ยวนำ HbF 2 ชนิดที่ขนาดต่างกันในช่วง 2 ถึง 6 เดือน การเปรียบเทียบรวมถึง hydroxyurea 20 มก./กก./วัน เทียบกับ 10 มก./กก./วัน และ HQK-1001 10 มก./กก./วัน 20 มก./กก./วัน 30 มก./กก./วัน และ 40 มก./กก./วัน ไม่มีการรายงานการถ่ายเลือดตามที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ในการศึกษา 1 ฉบับ (ผู้เข้าร่วม 61 คน) เราไม่แน่ใจว่าระดับฮีโมโกลบินและ HbF ที่ลดลงใน 24 สัปดาห์เป็นเพราะขนาดของ hydroxyurea ที่สูงขึ้นหรือไม่ (เฮโมโกลบิน: MD −2.39 g/dL, 95% CI −2.80 ถึง −1.98; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำมาก; HbF: MD −10.20%, 95% CI −16.28% ถึง −4.12%; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำมาก) การศึกษาขนาดของ HQK-1001 ที่แตกต่างกัน 4 ขนาดไม่ได้รายงานผลสำหรับฮีโมโกลบินหรือ HbF เราไม่แน่ใจว่าผลข้างเคียงที่สำคัญอาจพบได้บ่อยเมื่อใช้ hydroxyurea ในขนาดที่สูงขึ้น (neutropenia: อัตราส่วนความเสี่ยง (RR) 9.93, 95% CI 1.34 ถึง 73.97; ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ: RR 3.68, 95% CI 1.12 ถึง 12.07; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำมาก) การใช้ HQK-1001 20 มก./กก./วัน อาจส่งผลเสียน้อยที่สุด

การใช้ตัวเหนี่ยวนำ HbF ร่วมกัน เทียบกับตัวเหนี่ยวนำ HbF ตัวเดียว

การศึกษา 2 ฉบับ เปรียบเทียบตัวเหนี่ยวนำสองตัวที่ให้ร่วมกัน 3 แบบ กับตัวเหนี่ยวนำตัวเดียวในช่วง 6 เดือน: hydroxyurea กับ resveratrol เทียบกับ resveratrol หรือ hydroxyurea อย่างเดียว and hydroxyurea กับ l-carnitine เทียบกับ hydroxyurea อย่างเดียว ไม่มีรายงานการถ่ายเลือด

Hydroxyurea ร่วมกับ resveratrol อาจลดฮีโมโกลบินเมื่อเทียบกับ resveratrol หรือ hydroxyurea เพียงอย่างเดียว (MD −0.74 g/dL, 95% CI −1.45 ถึง −0.03; การศึกษา 1 ฉบับ ผู้เข้าร่วม 54 คน; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำ) เราไม่แน่ใจว่าความผิดปกติในระบบทางเดินอาหาร ปวดศีรษะ และรู้สึกไม่สบายตัวที่มักมีรายงานใน hydroxyurea กับ resveratrol มากกว่า resveratrol อย่างเดียว เป็นผลมาจากการรักษาหรือไม่

เราไม่แน่ใจว่า hydroxyurea กับ l-carnitine เทียบกับ hydroxyurea เพียงอย่างเดียวอาจเพิ่มค่าเฉลี่ยฮีโมโกลบิน และลดภาวะความดันในปอดสูง (การศึกษา 1 ฉบับ ผู้เข้าร่วม 60 คน หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำมาก) มีรายงานเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์แต่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มรักษา

ไม่มีการเปรียบเทียบใดที่รายงานผลลัพธ์ของ HbF

บันทึกการแปล: 

แปลโดย ศ.นพ.ภิเศก ลุมพิกานนท์ ภาควิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น 28 มกราคม 2023 Edit โดย ผกากรอง 10 กุมภาพันธ์ 2023

Tools
Information