ใจความสำคัญ
เราไม่แน่ใจว่าการใช้ยาปฏิชีวนะจะช่วยให้การได้ยินของเด็กที่มีหูน้ำหนวกมีอาการดีขึ้นหรือไม่ เนื่องจากขาดหลักฐานที่น่าเชื่อถือ
การใช้ยาปฏิชีวนะเมื่อเทียบกับการไม่รักษาอาจลดจำนวนเด็กที่มีหูน้ำหนวกได้เล็กน้อยเมื่อติดตามผล 3 เดือน ยังไม่ชัดเจนว่าสิ่งนี้จะมีผลกระทบในระยะยาวหรือไม่ เนื่องจากมีการศึกษาเพียงไม่กี่ฉบับที่ติดตามเด็ก ๆ เป็นเวลานานกว่า 3 เดือน
การศึกษาที่รวมอยู่ในการทบทวนนี้ไม่ได้รายงานอันตรายร้ายแรงจากการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ อย่างไรก็ตาม มีข้อเสนอแนะว่ายาปฏิชีวนะอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ เช่น ผื่นคันที่ผิวหนัง
หูน้ำหนวกคืออะไร
หูกาว (หรือ 'หูชั้นกลางอักเสบที่มีน้ำขัง', OME) เป็นภาวะที่พบได้บ่อยในเด็กเล็ก ของเหลวสะสมในหูชั้นกลาง ซึ่งอาจทำให้การได้ยินบกพร่อง ผลจากการได้ยินไม่ดี เด็กๆ อาจทำให้พูดช้าและอาจมีปัญหาที่โรงเรียน
หูน้ำหนวกรักษาอย่างไร
โดยส่วนใหญ่หูน้ำหนวกไม่ต้องการการรักษาใดๆ และอาการจะดีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ในเด็กที่มีภาวะหูน้ำหนวกเรื้อรัง จะมีการใช้วิธีการรักษาที่แตกต่างกัน รวมถึงการรับประทานยาหรือการผ่าตัด (การใส่แหวนยาง (ท่อช่วยระบาย) โดยมีหรือไม่มีการผ่าตัดต่อมอะดีนอยด์ออกด้วย) บางครั้งพบว่ามีแบคทีเรียอยู่ในของเหลวที่สะสมอยู่ในหูชั้นกลาง บางครั้งมีการใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อพยายามกำจัดแบคทีเรียเหล่านี้ และทำให้อาการของหูน้ำหนวกดีขึ้น
เราต้องการค้นหาอะไร
เราต้องการระบุว่าการใช้ยาปฏิชีวนะดีกว่ายาหลอก (การรักษาหลอกหรือยาหลอก) หรือไม่ได้รับการรักษาเลย สำหรับเด็กที่มีหูน้ำหนวก
เรายังต้องการดูว่ามีผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยาปฏิชีวนะสำหรับภาวะนี้หรือไม่
เราทำอะไร
เราค้นหาการศึกษาที่เปรียบเทียบการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะแบบรับประทานกับยาหลอกหรือไม่ได้รับการรักษาในเด็กที่มีหูน้ำหนวก เราเปรียบเทียบและสรุปผลลัพธ์ และให้คะแนนความเชื่อมั่นของเราในหลักฐาน โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น วิธีและขนาดการศึกษา
ผู้วิจัยค้นพบอะไร
เรารวบรวมการศึกษา 19 ฉบับที่ศึกษากับเด็กมากกว่า 2500 คน มีการใช้ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทานหลายประเภท และระยะเวลาการรักษาแตกต่างกันมากในแต่ละการศึกษา
ยังไม่ชัดเจนว่ายาปฏิชีวนะมีผลต่อการได้ยินหรือไม่ เนื่องจากหลักฐานที่มียังไม่ชัดเจน
เมื่อเปรียบเทียบกับการไม่รักษา การใช้ยาปฏิชีวนะอาจลดจำนวนเด็กที่มีหูน้ำหนวกลงเล็กน้อยหลังจากติดตามผลที่เวลา 3 เดือน มีการศึกษาเพียง 2 ฉบับเท่านั้นที่พิจารณาจำนวนเด็กที่มีหูน้ำหนวกหลังจากติดตามผลนานขึ้น ดังนั้นเราจึงไม่แน่ใจว่านี่จะส่งผลระยะยาวหรือไม่ เนื่องจากหูน้ำหนวก อาจเกิดขึ้นซ้ำได้อีก
เราไม่ทราบว่าการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตหรือไม่ เนื่องจากไม่มีการศึกษาใดที่รวมอยู่ในการทบทวนนี้ประเมินผลลัพธ์นี้ เราไม่สามารถหาหลักฐานมากนักเกี่ยวกับการเกิดภาวะภูมิแพ้รุนแรงเฉียบพลัน (anaphylaxis) ซึ่งเป็นปฏิกิริยาภูมิแพ้ที่พบไม่บ่อยแต่ร้ายแรงมาก ไม่มีการศึกษาใดรายงานว่าเด็กคนใดได้รับความทุกข์ทรมานจากอาการแพ้รุนแรงเฉียบพลัน แต่อาจเป็นเพราะไม่มีใครมีปฏิกิริยา หรือเพียงเพราะการศึกษาไม่ได้รายงานเรื่องนี้
ข้อจำกัดของหลักฐานคืออะไร
จากหลักฐานที่รวมอยู่ใน Cochrane Review นี้มีความไม่แน่นอน เราจึงไม่สามารถแน่ใจได้ว่าการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะจะให้ประโยชน์ใดๆ แก่เด็กที่มี หูน้ำหนวกหรือไม่ จากการศึกษาส่วนใหญ่มีระยะเวลาการศึกษาสั้นมาก เราจึงไม่ทราบว่าผลของยาปฏิชีวนะจะคงอยู่ต่อไปในระยะเวลานานหรือไม่ แม้ว่าอาการหูน้ำหนวก จะดูดีขึ้นในระยะสั้น แต่ก็อาจเกิดซ้ำขึ้นอีก
หลักฐานนี้ทันสมัยแค่ไหน
หลักฐานนี้เป็นข้อมูลล่าสุดจนถึงมกราคม 2023
หลักฐานการใช้ยาปฏิชีวนะสำหรับหูน้ำหนวกมีความเชื่อมั่นต่ำถึงต่ำมาก แม้ว่าการใช้ยาปฏิชีวนะเมื่อเทียบกับการไม่รักษาอาจมีผลประโยชน์เล็กน้อยต่อการแก้ไขหูน้ำหนวกได้นานถึง 3 เดือน แต่ผลต่อการได้ยินโดยรวมยังไม่แน่นอนอย่างมาก ผลกระทบระยะยาวของยาปฏิชีวนะยังไม่ชัดเจนและมีการศึกษาบางส่วนในการทบทวนนี้ที่รายงานถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้น ระยะเวลาที่ควรจะต้องหยุดยาควรได้รับการพิจารณาเมื่อชั่งน้ำหนักถึงประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้นในระยะสั้นและระยะยาวและอันตรายของการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะในสภาวะที่มีอัตราการสลายได้เองสูง
หูชั้นกลางอักเสบที่มีของเหลวขังหลังแก้วหู (OME) คือการสะสมของของเหลวในช่องหูชั้นกลาง ซึ่งพบได้บ่อยในเด็กเล็ก ของเหลวอาจทำให้สูญเสียการได้ยิน เมื่อปล่อยไว้นานอาจทำให้พัฒนาการล่าช้า ปัญหาทางสังคม และคุณภาพชีวิตที่ไม่ดี การรักษาหูชั้นกลางอักเสบ (OME) รวมถึงการสังเกตอาการ การปรับความดันในช่องหูด้วยตนเอง การรักษาโดยการใช้ยาและการผ่าตัด บางครั้งมีการใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อรักษาแบคทีเรียที่มีอยู่ในของเหลวหรือกลุ่มของแบคทีเรียที่เกาะกันเป็นแผ่น
เพื่อประเมินผล (ประโยชน์และอันตราย) ของยาปฏิชีวนะชนิดรับประทานเพื่อรักษาโรคหูน้ำหนวกที่มีน้ำไหลออกมา (OME) ในเด็ก
ผู้เชี่ยวชาญด้านข้อมูล (Cochrane ENT Information Specialist) ได้ทำการค้นหา Cochrane ENT Register, CENTRAL, Ovid MEDLINE, Ovid Embase, Web of Science, ClinicalTrials.gov, ICTRP และแหล่งข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับการศึกษาที่ตีพิมพ์และไม่ได้ตีพิมพ์จนถึงวันที่ 20 มกราคม 2023
เรารวมการทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุม (RCTs) และการทดลองกึ่งสุ่มในเด็กอายุ 6 เดือนถึง 12 ปีที่มีหูชั้นกลางอักเสบ (OME) ข้างเดียวหรือทั้ง 2 ข้าง เรารวบรวมการศึกษาที่เปรียบเทียบยาปฏิชีวนะชนิดรับประทานกับยาหลอกหรือไม่มีการรักษา
เราใช้วิธีตามมาตรฐานของ Cochrane ผลลัพธ์หลักของเราถูกกำหนดตามลำดับความสำคัญของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลายราย และได้แก่: 1) การได้ยิน 2) คุณภาพชีวิตเกี่ยวเนื่องโดยเฉพาะโรคหูน้ำหนวก และ 3) ภาวะแพ้รุนแรง ผลลัพธ์รองคือ: 1) โรคหูน้ำหนวกเรื้อรัง 2) ผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์ 3) ทักษะการรับรู้และเข้าใจทางภาษา 4) การพัฒนาการพูด 5) การพัฒนาความรู้ความเข้าใจ 6) ทักษะทางจิตสังคม 7) ทักษะการฟัง 8) คุณภาพชีวิตที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพทั่วไป 9) ความเครียดของผู้ปกครอง 10) การทำงานของการทรงตัว และ 11) กรณีหูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลัน เราใช้ GRADE เพื่อประเมินความเชื่อมั่นของหลักฐานสำหรับแต่ละผลลัพธ์
แม้ว่าเราจะรวมผลการประเมินการได้ยินทั้งหมด แต่สัดส่วนของเด็กที่กลับสู่การได้ยินตามปกติเป็นวิธีที่เราสนใจในการประเมินการได้ยิน เนื่องจากความท้าทายในการอธิบายผลลัพธ์ของเกณฑ์การได้ยินเฉลี่ย
เราระบุการศึกษาที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว 19 ฉบับที่ตรงตามเกณฑ์การคัดเลือกของเรา (ผู้เข้าร่วม 2581 คน) พวกเขาประเมินยาปฏิชีวนะชนิดรับประทานหลายชนิด (ทั้งเพนิซิลลิน เซฟาโลสปอริน แมคโครไลด์ และไตรเมโทพริม) โดยการศึกษาส่วนใหญ่ใช้เวลารักษา 10 ถึง 14 วัน เรามีความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงของการเกิดอคติในการศึกษาทั้งหมดที่รวมอยู่ในการทบทวนนี้ เรารายงานผลลัพธ์หลักและผลลัพธ์รองในการเป็นการรายงานติดตามผลที่ยาวนานที่สุด
ยาปฏิชีวนะกับยาหลอก
เรารวบรวมการศึกษา 11 ฉบับสำหรับการเปรียบเทียบนี้ แต่ไม่มีรายงานใดที่มีผลลัพทธ์ที่เราสนใจทั้งหมด และมีความเป็นไปได้ที่มีการวิเคราะห์เมตต้าที่จำกัด
การได้ยิน
การศึกษา 1 ฉบับพบว่าเด็กจำนวนมากขึ้นอาจกลับสู่การได้ยินตามปกติภายใน 2 เดือน (การแก้ไขช่องว่างของกระดูกอากาศ) หลังจากได้รับยาปฏิชีวนะเมื่อเทียบกับยาหลอก แต่หลักฐานมีความไม่แน่นอนอย่างมาก (Peto Odds Ratio (OR) 9.59, 95% ช่วงความเชื่อมั่น (CI) 3.51 ถึง 26.18; เด็ก 20 คนจาก 49 คนที่ได้รับยาปฏิชีวนะกลับมามีการได้ยินตามปกติ เทียบกับไม่พบคนที่ได้ยินดีขึ้นเลยจาก 37 คน ที่ได้รับยาหลอก; การศึกษา 1 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 86 คน; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำมาก)
คุณภาพชีวิตเฉพาะโรค
ไม่มีการศึกษาที่ประเมินผลลัพธ์นี้
หูน้ำหนวกเรื้อรัง
ในการติดตามผลที่ 6 ถึง 12 เดือน การใช้ยาปฏิชีวนะเมื่อเทียบกับการใช้ยาหลอกอาจลดจำนวนเด็กที่มีหูน้ำหนวกแบบเรื้อรังได้เล็กน้อย แต่ช่วงความเชื่อมั่นนั้นกว้าง และหลักฐานมีความไม่แน่นอนอย่างมาก (อัตราส่วนความเสี่ยง (RR) 0.89, 95 % CI 0.68 ถึง 1.17; 48% เทียบกับ 54%; จำนวนที่ต้องรักษา (NNT) 17; การศึกษา 2 ฉบับ ผู้เข้าร่วม 324 คน; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำมาก)
เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์: อาการแพ้รุนแรง
ไม่มีการศึกษาใดที่ให้ข้อมูลเฉพาะเกี่ยวกับภาวะแพ้รุนแรง การศึกษา 3 ฉบับ (เด็ก 448 คน) รายงานเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ในรายละเอียดเพียงพอที่จะสรุปได้ว่าไม่มีปฏิกิริยาแพ้รุนแรงเกิดขึ้น แต่หลักฐานมีความไม่แน่นอนอย่างมาก (หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำมาก)
ยาปฏิชีวนะกับการไม่รักษา
เรารวมการศึกษา 8 ฉบับ สำหรับการเปรียบเทียบนี้ แต่การวิเคราะห์เมตต้าค่อนข้างจำกัดมาก
การได้ยิน
การศึกษา 1 ฉบับพบว่าการใช้ยาปฏิชีวนะเมื่อเปรียบเทียบกับการไม่รักษาอาจส่งผลให้เกิดความแตกต่างเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีความแตกต่างเลยในการประเมินเกณฑ์การได้ยินที่ 3 เดือน (ความแตกต่างเฉลี่ย (MD) -5.38 dB HL, 95% CI -9.12 ถึง -1.64; การศึกษา 1 ฉบับ ผู้เข้าร่วม 73 คน; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำ) มีเพียงข้อมูลเดียวที่ระบุในการกลับมาได้ยินตามปกติเมื่อติดตามผล 10 วัน ซึ่งเราถือว่าน้อยเกินไปที่จะสะท้อนประสิทธิภาพของยาปฏิชีวนะอย่างแม่นยำ
คุณภาพชีวิตเฉพาะโรค
ไม่มีการศึกษาที่ประเมินผลลัพธ์นี้
หูน้ำหนวกเรื้อรัง
ยาปฏิชีวนะอาจลดสัดส่วนของเด็กที่มีหูน้ำหนวกเรื้อรังในการติดตามผลที่ 3 เดือน เมื่อเปรียบเทียบกับการไม่ได้รับการรักษา (RR 0.64, 95% CI 0.50 ถึง 0.80; การศึกษา 6 ฉบับ ผู้เข้าร่วม 542 คน; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำ)
เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์: อาการแพ้รุนแรง
ไม่มีการศึกษาใดที่ให้ข้อมูลเฉพาะเกี่ยวกับภาวะแพ้รุนแรง การศึกษา 2 ฉบับจากการศึกษาทั้งหมด (เด็ก 180 คน) มีรายงานเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ในรายละเอียดเพียงพอที่จะสรุปได้ว่าไม่มีปฏิกิริยาแพ้รุนแรงเกิดขึ้น แต่หลักฐานมีความไม่แน่นอนอย่างมาก (หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำมาก)
ผู้แปล แพทย์หญิงชุติมา ชุณหะวิจิตร วันที่ 13 มกราคม 2024