ความเป็นมา
วัคซีนมีประสิทธิภาพในการป้องกัน COVID-19 ที่รุนแรง ซึ่งเป็นโรคทีการรักษามีเพียงเล็กน้อย การฉีดวัคซีนป้องกัน COVID-19 อย่างแพร่หลายอาจช่วยปกป้องผู้ที่ยังไม่สามารถฉีดวัคซีนได้ อย่างไรก็ตาม หลายคนไม่ต้องการรับวัคซีนป้องกัน COVID-19 ซึ่งสามารถทำให้พวกเขามีความเสี่ยงที่จะเป็นโรครุนแรงและเสียชีวิต
เป้าหมายของเราคืออะไร
เราต้องการค้นหาว่าวิธีการที่นำมาใช้ในการเพิ่มการรับวัคซีน COVID-19 ที่ได้รับหรือกำลังประเมินอยู่ในปัจจุบัน
วิธีการ
เราค้นหาฐานข้อมูลทางการแพทย์และทะเบียนการทดลองจนถึงวันที่ 11 ตุลาคม 2021 เรารวบรวมการศึกษาทั้งหมดที่ตรวจสอบวิธีการเพื่อเพิ่มการรับวัคซีน COVID-19 เราไม่รวมการศึกษาเกี่ยวกับวัคซีนอื่นๆ เช่น โรคหัด เรารวมการศึกษาทุกรูปแบบตราบใดที่มีผู้เข้าร่วมมากกว่า 100 คน
เมื่อเราพบการศึกษาวิจัย เราจัดประเภทวิธีการที่ใช้ออกเป็นกลุ่มต่างๆ ต่อไปนี้: วิธีการด้านการสื่อสาร วิธีการด้านนโยบาย วิธีการเพื่อปรับปรุงการเข้าถึง วิธีการด้านการศึกษา สิ่งจูงใจ และวิธีการแบบหลายมิติ เราสรุปผลลัพธ์ในแผนที่เชิงโต้ตอบ นอกจากนี้ เรายังทำแผนที่ผลการศึกษา ประเทศที่ทำการศึกษา ประชากรที่ศึกษา และการออกแบบการศึกษา
ผลการศึกษา
เรารวมการศึกษา 96 ฉบับ ในการทำแผนที่หลักฐาน โดย 35 ฉบับ กำลังดำเนินการอยู่ และ 61 ฉบับ ที่ตีพิมพ์แล้ว วิธีการที่ใช้ในการศึกษาเหล่านี้มีความหลากหลายมาก การศึกษาจำนวนมากใช้กลยุทธ์การสื่อสารเพื่อโน้มน้าวให้ผู้คนรับการฉีดวัคซีนป้องกัน COVID-19 มักใช้วิธีการที่มีข้อมูลเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนหรือการผสมผสานของกลยุทธ์ต่างๆ
การศึกษาส่วนใหญ่ดำเนินการในประเทศที่พูดภาษาอังกฤษทางตอนเหนือของโลก เช่น สหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ การศึกษาส่วนใหญ่ตรวจสอบวิธีการทางดิจิทัลแบบออนไลน์ ประชากรที่กล่าวถึงแตกต่างกันไปตามการศึกษา ตัวอย่าง เช่น การศึกษาเกี่ยวกับบุคลากรทางการแพทย์ ชนกลุ่มน้อยในสหรัฐอเมริกา นักเรียน ทหาร ชาวบ้าน ผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง หรือประชากรทั่วไป
สำหรับภาพรวม โปรดดูแผนที่แบบโต้ตอบ (https://tinyurl.com/2p9jmx24)
บทสรุป
เราพบการศึกษาจำนวนมากที่ศึกษาว่าการรับวัคซีน COVID-19 จะเพิ่มขึ้นได้อย่างไร อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมโดยเน้นที่ประเทศที่มีรายได้ปานกลางถึงต่ำและเด็ก การวิจัยในอนาคตควรเปรียบเทียบประสิทธิผลของวิธีการที่ใช้แบบต่างๆ เพื่อเพิ่มการรับวัคซีน COVID-19
เราสามารถระบุและทำแผนที่การแทรกแซงที่หลากหลายเพื่อเพิ่มการรับวัคซีน COVID-19 หรือการลดความลังเลของกรรฉีดวัคซีน ผลลัพธ์ของเราแสดงให้เห็นว่านี่เป็นงานวิจัยเชิงรุกที่มีการศึกษาที่ตีพิมพ์ 61 ฉบับและการศึกษา 35 ฉบับ ที่ยังคงดำเนินอยู่ การทบทวนนี้ให้ภาพรวมที่ครอบคลุมวิธีการเพื่อเพิ่มการรับวัคซีน COVID-19 และสามารถเป็นรากฐานสำหรับการทบทวนอย่างเป็นระบบในภายหลังเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวิธีการเพื่อเพิ่มการรับวัคซีน COVID-19
มีการพบช่องว่างการวิจัยสำหรับการศึกษาที่ดำเนินการในประเทศที่มีรายได้ต่ำและปานกลาง และศึกษาการตรวจสอบวิธีการด้านนโยบายและการเข้าถึงที่ดีขึ้นตลอดจนวิธีการที่เกี่ยวข้องกับเด็กและวัยรุ่น เนื่องจากวัคซีนป้องกัน COVID-19 มีแพร่หลายมากขึ้น การวิจัยจึงไม่ควรละเลยประชากรและวิธีการเหล่านี้
วัคซีนมีประสิทธิภาพในการป้องกัน COVID-19 ที่รุนแรง ซึ่งเป็นโรคที่มีวิธีการรักษาเพียงเล็กน้อยและอาจนำไปสู่ความทุพพลภาพหรือเสียชีวิตได้ การฉีดวัคซีนป้องกัน COVID-19 อย่างแพร่หลายอาจช่วยปกป้องผู้ที่ยังไม่สามารถฉีดวัคซีนได้ นอกจากนี้ การกลายพันธุ์ใหม่และเชื้อที่ดื้อต่อวัคซีนของ SARS-CoV-2 อาจมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยลงหากการแพร่กระจายของ COVID-19 ถูกจำกัด วัคซีนชนิดต่างๆ มีใช้แล้วในหลายสถานที่ อย่างไรก็ตาม ความลังเลของการรับวัคซีนเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อเป้าหมายของการฉีดวัคซีนทั่วประเทศในหลายประเทศ และเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพของประชากรอย่างมาก การทบทวนวรรณกรรม scoping review นี้ ได้จัดกลุ่มวิธีการที่มุ่งเพิ่มการรับวัคซีน COVID-19 และลดความลังเลของการฉีดวัคซีน COVID-19
เพื่อกำหนดขอบเขตการวิจัยที่มีอยู่เกี่ยวกับการแทรกแซงเพื่อเพิ่มความเต็มใจของประชากรที่แตกต่างกันในการฉีดวัคซีนป้องกัน COVID-19 เพิ่มการรับวัคซีน COVID-19 หรือลดความลังเลของการฉีดวัคซีน COVID-19 และจัดทำกลุ่มหลักฐานตามกลุ่มประชากรและประเภทของวิธีการที่ใช้
เราค้นหา Cochrane COVID-19 Study Register, Web of Science (Science Citation Index Expanded and Emerging Sources Citation Index), WHO COVID-19 Global diabetes on coronavirus disease, PsycINFO และ CINAHL ถึง 11 ตุลาคม 2021
เรารวมการศึกษาที่ประเมินผลกระทบของวิธีการที่ใช้เพื่อเพิ่มความเต็มใจของประชากรที่แตกต่างกันในการฉีดวัคซีนป้องกัน COVID-19 เพิ่มการรับวัคซีน หรือลดความลังเลของการรับวัคซีน COVID-19 เรารวมการศึกษาแบบ randomised controlled trials (RCTs), non-randomised studies of intervention (NRSIs), observational studies และ case studies ที่มีผู้เข้าร่วมมากกว่า 100 คน นอกจากนี้เรายังรวมการทบทวนอย่างเป็นระบบและการวิเคราะห์เมตต้า เราไม่ได้จำกัดขอบเขตของการทบทวนเป็นประชากรเฉพาะหรือเฉพาะผลลัพธ์ที่ประเมิน เราไม่รวมการแทรกแซงที่เกี่ยวข้องกับความลังเลใจในวัคซีนสำหรับโรคอื่นนอกเหนือจาก COVID-19
ข้อมูลได้รับการวิเคราะห์ตาม โปรโตคอล ที่อัปโหลดไปยัง Open Science Framework เราใช้แผนที่กำหนดขอบเขตเชิงโต้ตอบเพื่อแสดงภาพผลลัพธ์ของการตรวจสอบแบบ scoping review เราจับคู่วิธีการที่ใช้ที่ระบุตามหมวดหมู่ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ซึ่งปรับให้เข้ากับหลักฐานมากขึ้น หมวดหมู่วิธีการที่ใช้ ได้แก่ วิธีการที่ใช้ด้วยการการสื่อสาร วิธีการเชิงนโยบาย วิธีการด้านด้านการศึกษา สิ่งจูงใจ (ทั้งด้านการเงินและที่ไม่ใช่ด้านการเงิน) วิธีการที่ใช้เพื่อปรับปรุงการเข้าถึง และวิธีการแบบหลากหลายมิติ ผลการศึกษาได้รวมอยู่ในการจัดหมวดหมู่ นอกจากนี้ เรายังทำแผนที่ประเทศที่ทำการศึกษา ระบุลักษณะของประชากรที่เข้าร่วม และดูว่าการออกแบบมีการควบคุมแบบสุ่มหรือไม่
เรารวมการศึกษา 96 ฉบับ ในการทบทวนแบบ scoping review โดย 35 ฉบับ กำลังดำเนินการอยู่ และ 61 ฉบับ มีผลลัพธ์ที่ตีพิมพ์แล้ว เราไม่พบการทบทวนอย่างเป็นระบบที่เกี่ยวข้อง สำหรับภาพรวม โปรดดูแผนที่แบบโต้ตอบ (https://tinyurl.com/2p9jmx24)
การศึกษาที่มีผลงานตีพิมพ์
จากการศึกษา 61 ฉบับ ที่มีผลงานตีพิมพ์ มีการศึกษา 46 ฉบับ ที่เป็น RCTs และการศึกษาแบบ NRSIs 15 ฉบับ วิธีการที่ตรวจสอบในการศึกษานี้แตกต่างกัน โดยการศึกษาส่วนใหญ่จะทดสอบกลยุทธ์การสื่อสารเพื่อเพิ่มการรับวัคซีน COVID-19 การศึกษาส่วนใหญ่ประเมินความเต็มใจที่จะได้รับการฉีดวัคซีนเป็นผลลัพธ์ การศึกษาส่วนใหญ่ดำเนินการในประเทศที่มีรายได้สูงที่พูดภาษาอังกฤษ นอกจากนี้ การศึกษาส่วนใหญ่ตรวจสอบวิธีการทางดิจิทัลแบบออนไลน์ ประชากรที่ได้กล่าวถึงถึงมีความหลากหลาย ตัวอย่างเช่น การศึกษาที่กำหนดเป้าหมายไปยังบุคลากรทางการแพทย์ ชนกลุ่มน้อยในสหรัฐอเมริกา นักเรียน ทหาร ผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง หรือประชากรทั่วไป
การศึกษาที่กำลังดำเนินการ
จากการศึกษาต่อเนื่อง 35 ฉบับ มีการศึกษา 29 ฉบับ ที่เป็น RCTs และ การศึกษาแบบ NRSIs 6 ฉบับ วิธีการทางการศึกษาและการสื่อสารเป็นรูปแบบที่ใช้มากที่สุด การศึกษาที่กำลังทำอยู่ส่วนใหญ่วางแผนที่จะประเมินการรับวัคซีนเป็นผลลัพธ์ การศึกษาส่วนใหญ่ดำเนินการในประเทศที่มีรายได้สูงที่พูดภาษาอังกฤษ ตรงกันข้ามกับการศึกษาที่มีผลงานตีพิมพ์ การศึกษาที่กำลังทำอยู่ส่วนใหญ่จะไม่มีการดำเนินการทางออนไลน์ ประชากรที่กล่าวถึงมีตั้งแต่ประชากรส่วนน้อยในสหรัฐอเมริกาไปจนถึงบุคลากรทางการแพทย์หรือนักศึกษา การศึกษาที่กำลังทำอยู่ 11 ฉบับ ได้ประมาณไว้ว่าจะเสร็จในปี 2022
แปลโดย พญ.วิลาสินี หน่อแก้ว Edit โดย ผกากรอง 19 พฤศจิกายน 2022