คำถาม
การทบทวนนี้มุ่งสรุปหลักฐานทั้งหมดจากการทบทวนอย่างเป็นระบบเกี่ยวกับกลวิธีทำให้แพทย์ลดการสั่งยาปฏิชีวนะให้แก่ผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจเฉียบพลัน (ติดเชื้อในหู จมูก คอ หรือในช่องอก)
ความเป็นมา
การใช้ยาปฏิชีวนะต้องใช้สำหรับโรคที่ยาสามารถทำให้อาการของผู้ป่วยดีขึ้นและหายได้ และต้องมีไว้สำหรับผู้ที่มีการติดเชื้อร้ายแรง ที่อาจทำให้เกิดความพิการหรือเสียชีวิตได้ การใช้ยาปฏิชีวนะในผู้ที่มี การติดเชื้อที่หู จมูก คอ หรือในช่องอกซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัส (เช่นโรคหวัด ไข้หวัด หรือเจ็บคอ) ทำให้เกิดความแตกต่างน้อยมาก หรือไม่แตกต่างเลยเมื่อเทียบกับไม่ใช้ แพทย์สามารถสั่งยาปฏิชีวนะได้ง่ายเกินไปสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการเหล่านี้ มีการพัฒนากลวิธีในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของแพทย์ในการสั่งยาปฏิชีวนะเพื่อลดจำนวนของยาปฏิชีวนะที่ให้กับผู้ป่วยที่มีอาการเหล่านี้ กลวิธีเหล่านี้มีหลายประเภทและการรวบรวมข้อมูลทั้งหมดเพื่อให้ทราบว่าวิธีต่างๆได้ผลอย่างไรเป็นเรื่องสำคัญ
วิธีการศึกษา
ผู้ทบทวนพบ Cochrane review ห้าเรื่องและอีกสาม เรื่องที่่ไม่ใช่ Cochrane review บทความทบทวนเหล่านี้่ต่างกันในแง่จำนวนการศึกษาและจำนวนผู้เข้าร่วมในการทดลอง คุณภาพของบทความทบทวนและการศึกษาแตกต่างกัน
ผลลัพธ์ที่สำคัญ
ผู้ทบทวนพบว่า มีกลยุทธ์สามอย่างทีอาจจะช่วยในการลดการสั่งจ่ายยาปฏิชีวนะในสถานพยาบาลปฐมภูมิโดยหลักฐานมีคุณภาพปานกลาง กลยุทธ์ที่สนับสนุนให้ใช้การตัดสินใจร่วมกันระหว่างแพทย์ และผู้ป่วย การทดสอบ c-reactive protein และ procalcitonin เพื่อช่วยการตัดสินใจรักษา (การทดสอบทั้งสองนี้วัดปริมาณของโปรตีนในเลือด ซึ่งอาจมีค่าสูงขึ้นในกรณีที่มีการติดเชื้อ ) ทั้งหมดอาจจะลดการสั่งยาปฏิชีวนะโดยแพทย์ทั่วไป การใช้ Procalcitoninในการช่วยตัดสินใจการรักษายังอาจลดการสั่งจ่ายยาปฏิชีวนะในแผนกฉุกเฉิน กลยุทธ์เหล่านี้ดูเหมือนจะ เปลี่ยนการสั่งจ่ายยาปฏิชีวนะในขณะที่ผู้ป่วยก็มีความพอใจกับการให้คำปรึกษาและทำให้พวกเขามั่นใจได้ว่าไม่ต้องกลับไปพบแพทย์ของพวกเขาสำหรับการเจ็บป่วยที่เหมือนกันนี้ แต่ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับต้นทุนของกลยุทธ์เหล่านี้ ทำให้ยากที่จะเปรียบเทียบระหว่างประโยชน์ที่ได้และค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ไป
กลยุทธ์ที่มุ่งให้ความรู้แก่แพทย์เกี่ยวกับการสั่งจ่ายยาปฏิชีวนะ ซึ่งช่วยในการตัดสินใจสำหรับแพทย์เพื่อช่วยในการเปลี่ยนแปลงการสั่งยา และการใช้การวินิจฉัยการติดเชื้อไวรัสอย่างรวดเร็วในแผนกฉุกเฉินมีคุณภาพของหลักฐานต่ำ หรือ ต่ำมาก ซึ่งหมายความว่า ไม่สามารถให้ข้อสรุปเกี่ยวกับผลกระทบของกลยุทธ์เหล่านี้ได้
โดยสรุป กลยุทธ์บางอย่างที่มุ่งเน้นที่แพทย์ช่วยลดการสั่งจ่ายยาปฏิชีวนะในสถานพยาบาลปฐมภูมิ จำเป็นต้องมีการศึกษาสำหรับกลยุทธ์ประเภทอื่น ๆซึ่งมีข้อมูลน้อยว่าสามารถเปลี่ยนแปลงการสั่งยาหรือไม่
เราพบหลักฐานว่า การทดสอบ CRP การตัดสินใจร่วมกัน และ การใช้ procalcitonin เพื่อช่วยตัดสินใจในการรักษาลดการสั่งจ่ายยาปฏิชีวนะผู้ป่วยกับ ARIs ในสถานพยาบาลปฐมภูมิ กลวิธีเหล่านี้จึงอาจลดการใช้ยาปฏิชีวนะโดยรวมและส่งผลให้ลดการดื้อยาปฏิชีวนะ ไม่ปรากฏว่ากลวิธีเหล่านี้มีผลในแง่ลบต่อความพึงพอใจของผู้ป่วยและ reconsultation แม้จะมีการประเมินผลเหล่านี้ในการศึกษาต่างๆค่อนข้างน้อย ประเด็นเหล่านี้ควรจะแก้ไขในการศึกษาในอนาคต
ไม่สามารถรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับต้นทุนของการบริหารจัดการและการประเมินเรื่องนี้มีน้อยมาก ทำให้เป็นการยากที่จะประเมินประโยชน์และค่าใช้จ่ายในการดำเนินการใช้กลวิธีเหล่านี้ในทางปฏิบัติ
ส่วนใหญ่ของงานวิจัยเหล่านี้ทำในประเทศที่มีรายได้สูง และอาจไม่สามารถนำไปใช้ในประเทศอื่นๆได้่ คุณภาพของหลักฐานของกลวิธีการใช้เอกสารการศึกษาและครื่องมือต่างๆสำหรับผู้ป่วยและแพทย์ค่อนข้างต่ำหรือต่ำมาก ซึ่งทำให้ไม่สามารถให้ข้อสรุปใด ๆได้ มีความจำเป็นต้องทำการศึกษาที่มีคุณภาพสูงเพื่อตรวจสอบกลวิธีเหล่านี้ต่อไป
การดื้อยาปฏิชีวนะเป็นภัยคุกคามสุขภาพทั่วโลก กลวิธีต่างๆที่ทำเพื่อลดการสั่งจ่ายยาปฏิชีวนะโดยแพทย์ถูกคาดว่าจะลดการดื้อยาปฏิชีวนะได้ มีการศึกษากลวิธีต่างๆเพื่อลดพฤติกรรมการสั่งจ่ายยาปฏิชีวนะโดยแพทย์สำหรับการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจเฉียบพลัน (ARIs) และ มีการวิเคราะห์แบบ meta analysis แต่ยังไม่มีการสรุปในภาพรวม การทบทวนนี้รวบรวมหลักฐานจาก systematic reviews ต่างๆแทนการรวบรวมจากการศึกษาทดลองแต่ละเรื่อง
เพื่อทบทวนหลักฐานที่มีอยู่จาก systematic reviews เกี่ยวกับผลของการใช้กลวิธีต่างๆที่มีผลต่อพฤติกรรมการสั่งยาปฏิชีวนะของแพทย์สำหรับ ARIs ในสถานพยาบาลระดับปฐมภูมิ
ผู้ทบทวนค้นข้อมูลของ Cochrane Database of Systematic Reviews, Database of Abstracts of Reviews of Effects (DARE), MEDLINE, Embase, CINAHL, PsycINFO และ Science Citation Index ถึงมิถุนายน 2016 นอกจากนี้ยังค้นรายการอ้างอิงทั้งหมดในข้อมูลนั้นๆ และได้ค้นหาเอกสารอีกครั้งก่อนการตีิ่พิมพ์นี้เมื่อ พฤษภาคม 2560 และรวมไว้เป็นการศึกษาเพิ่มเติมที่'รอการคัดแยกประเภท'
รวม Cochrane review และ review ที่ไม่ใช่ Cochrane review ของการทดลองแบบสุ่มมีกลุ่มควบคุมที่ประเมินผลของการใช้กลวิธีต่างๆที่มุ่งเน้นผลลัพธ์ที่มีต่อพฤติกรรมการสั่งยาปฏิชีวนะของแพทย์ในสถานพยาบาลระดับปฐมภูมิ ผู้ทบทวนสองคนดึงข้อมูลจาก review ต่างๆอย่างเป็นอิสระต่อกัน และประเมินคุณภาพโดยใช้เครื่องมือ ROBIS ในกรณีที่ความเห็นไม่ตรงกันจะต้องคุยกันจนความเห็นเป็นเอกฉันท์หรือปรึกษาผู้ทบทวนคนที่สาม ใช้ระบบ GRADE ประเมินคุณภาพของหลักฐานของ review ที่รวบรวมมา ผลลัพธ์ที่ได้นำเสนอเป็นภาพรวมแบบบรรยาย
ผู้ทบทวนรวมแปด reviewในการทบทวนนี้: Cochrane review ห้า เรื่อง (33 การศึกษา) และอีกสามเรื่องที่ไม่ใช่ Cochrane review (11การศึกษา) การทบทวน 3 เรื่อง(ทั้งหมดเป็น Cochrane Reviews) มีค่าคะแนนความเสี่ยงต่ำในทุกโดเมนของ ROBIS ในเฟส 2 และมีความเสี่ยงต่ำของอคติโดยรวม การทบทวนอีก 5 เรื่องมีคะแนนความเสี่ยงสูงในโดเมนที่ 4 ของเฟส 2 เนื่องจากการประเมิน 'อคติ' ไม่ได้ถูกคำนึงอย่างเฉพาะเจาะจง และไม่มีการกล่าวถึงในการทบทวน ผลลัพธ์และข้อสรุป การศึกษาที่รวบรวมไว้ในการทบทวนมีความแตกต่างกันทั้งขนาดของการศึกษาและความเสี่ยงของการมีอคติ กลวิธีที่ใช้ถูกเปรียบเทียบกับการดูแลตามปกติ
มีหลักฐานคุณภาพปานกลางที่พบว่ากลวิธีต่อไปนี้อาจลดการสั่งยาปฏิชีวนะในเวชปฏิบัติทั่วไป ได้แก่ การตรวจ c-reactive protein (CRP) ณ จุดที่ดูแลผู้ป่วย (point-of-care testing) (อัตราความเสี่ยง (RR) 0.78 ช่วงความเชื่อมั่น 95% (CI) 0.66 0.92, อาสมัคร 3284 คน 6 การศึกษา) การร่วมกันตัดสินใจ ( odds ratio (OR) 0.44, 95% CI 0.26 0.75, 3274 ผู้เข้าร่วม 3 การศึกษา; RR 0.64 , 95% CI 0.49 0.84, อาสมัคร 4623 คน 2 การศึกษา ความเสี่ยงต่างกัน (risk differenc) -18.44, 95% CI-27.24 ถึง-9.65, อาสมัคร 481,807 คน 4 การศึกษา), และการใช้ procalcitonin ช่วยในการตัดสินใจ (adjusted ORัุื 0.10, 95% CI 0.07 ถึง 0.14, อาสมัคร 1008 คน 2 การศึกษา ) มีหลักฐานคุณภาพปานกลางที่การใช้ procalcitonin เพื่อช่วยตัดสินใจการดูแลรักษาอาจจะช่วยลดการสั่งจ่ายยาปฏิชีวนะในแผนกฉุกเฉิน (adjusted OR 0.34, 95% CI 0.28 ถึง 0.43, อาสมัคร 2605 คน 7 การศึกษา) ผลโดยรวมของกลวิธีเหล่านี้มีขนาดเล็ก (มีการศึกษาส่วนน้อยที่พบว่าสามารถลดการสั่งจ่ายยาปฏิชีวนะได้มากกว่า 50% ส่วนใหญ่ลดได้ประมาณหนึ่งในสี่หรือน้อยกว่า) แต่มีแนวโน้มที่จะมีความสำคัญทางคลินิก
เมื่อเทียบกับการดูแลตามปกติ การตัดสินใจร่วมกันมีผลน้อยหรืออาจไม่มีความแตกต่างเลยในแง่การกลับมาพบแพทย์อีก (reconsultation) เมื่อผู้ป่วยมีการเจ็บป่วยแบบเดิม (RR 0.87, 95% CI 0.74 ถึง1.03, อาสาสมัคร 1860 คน 4 การศึกาษา หลักฐานคุณภาพปานกลาง) และอาจทำให้ผู้ป่วยเกิดความพึงพอใจเพียงเล็กน้อย หรือไม่มีความแตกต่างกับเลย (RR 0.86, 95% CI 0.57 ถึง 1.30, อาสาสมัคร 1110 คน 2 การศึกษา หลักฐานคุณภาพต่ำ) ในทำนองเดียวกัน การทดสอบ CRP อาจมีผลต่อความพึงพอใจของผู้ป่วยน้อยหรือไม่มีเลย (RR 0.79, 95% CI 0.57 ถึง 1.08, อาสาสมัคร 689 คน 2 การศึกษา หลักฐานคุณภาพปานกลาง) หรือ การกลับมาพบแพทย์ด้วยเรื่องเดิม (reconsultation) (RR 1.08, 95% CI 0.93 ถึง 1.27, อาสาสมัคร 5132 คน 4 การศึกษา หลักฐานคุณภาพปานกลาง ) การใช้ Procalcitonin เพื่อช่วยตัดสินใจการดูแลรักษาอาจจะ มีผลน้อย หรือไม่มีความแตกต่างเลยในแง่ความล้มเหลวในการรักษาโดยแพทย์ทั่วไปเมื่อเทียบกับการดูแลตามปกติ (adjusted OR 0.95, 95% CI 0.73 ถึง 1.24, อาสาสมัคร 1008 คน 2 การศึกษา หลักฐานคุณภาพปานกลาง) อย่างไรก็ตามมันอาจจะ ลดความล้มเหลวของการรักษาในแผนกฉุกเฉินเมื่อเทียบกับการดูแลตามปกติ (adjusted OR 0.76, 95% CI 0.61ถึง 0.95, อาสาสมัคร 2605 คน 7 การศึกษา หลักฐานคุณภาพปานกลาง)
สำหรับกลวิธีที่มุ่งเน้นการใช้เอกสารความรู้และแนวทางการตัดสินใจแก่แพทย์ทั่วไปเพื่อลดการสั่งยาปฏิชีวนะ มีคุณภาพของหลักฐานต่ำหรือต่ำมาก (ไม่มีรายงานค่าผลลัพธ์โดยรวม , pooled result) และผลของการศึกษามีความแตกต่างกันอย่างมาก จึงไม่สามารถให้ข้อสรุปเกี่ยวกับผลกระทบของกลวิธีเหล่านี้ การใช้การทดสอบเพื่อวินิจฉัยการติดเชื้อไวรัสอย่างรวดเร็วในแผนกฉุกเฉินอาจมีผลน้อย หรือไม่มีผลเลยต่อการสั่งยาปฏิชีวนะ (RR 0.86, 95% CI 0.61 ถึง 1.22, อาสาสมัคร 891 คน 3 การศึกษา หลักฐานคุณภาพต่ำ) และอาจส่งผลเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีความแตกต่างเลยในการกลับมาพบแพทย์อีกด้วยเรื่องเดิม (reconsultation) (RR 0.86, 95 % CI 0.59 ถึง 1.25 อาสาสมัคร 200 คน 1 การศึกษา หลักฐานคุณภาพต่ำ)
ไม่มีการศึกษาใดใน review ที่ทบทวนนี้ที่รายงานค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการจัดการการรักษา ARI หรืออาการแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้อง
แปลโดย ศาสตราจารย์ ผกากรอง ลุมพิกานนท์ พบ, วว. กุมารเวชศาสตร์ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น