เหตุใดการพัฒนาการวินิจฉัยภาวะสมองเสื่อมจึงมีความสำคัญ
ภาวะสมองเสื่อมเป็นภาวะที่ความจำและกระบวนการคิดเริ่มถดถอยลงเรื่อยๆ ซึ่งอาจเกิดจากหลายสภาวะ (เช่น โรคอัลไซเมอร์) และการรักษาที่ดีที่สุดนั้นขึ้นอยู่กับสาเหตุของโรค ระดับของโปรตีน ABeta42 ในเลือดหรือน้ำไขสันหลังอาจช่วยบ่งบอกสาเหตุของภาวะสมองเสื่อมได้ และช่วยให้แพทย์ตัดสินใจเลือกการรักษาที่ดีที่สุดได้
วัตถุประสงค์ของการทบทวนวรรณกรรมนี้คืออะไร
จุดมุ่งหมายของการทบทวนนี้คือเพื่อค้นหาว่าระดับ ABeta42 ในเลือดหรือน้ำไขสันหลังมีความแม่นยำเพียงใดในการระบุสาเหตุของภาวะสมองเสื่อม
การทบทวนวรรณกรรมนี้ได้ศึกษาอะไร
ผู้วิจัยรวบรวมการศึกษาที่ตรวจสอบระดับของ ABeta42 จากเลือดหรือน้ำไขสันหลัง ในปัจจุบันการทดสอบนี้ทำในคลินิกเฉพาะทางเท่านั้น โดยระดับของ ABeta42 อาจต่ำกว่าในผู้ที่มีภาวะสมองเสื่อมอัลไซเมอร์เมื่อเทียบกับผู้ที่มีภาวะสมองเสื่อมประเภทอื่น
อะไรคือผลลัพธ์หลักของการทบทวนวรรณกรรมนี้
ผู้วิจัยรวบรวมการศึกษา 39 ฉบับ มีผู้เข้าร่วมทั้งหมด 5000 คน การศึกษาทั้งหมดใช้การตรวจ ABeta42 จากน้ำไขสันหลัง และไม่มีการศึกษาใดที่ใช้การตรวจ ABeta42 จากเลือด
ในทางทฤษฎีแล้ว ผลการศึกษาเหล่านี้ระบุว่าหากตรวจค่า ABeta42 ในคลินิกเฉพาะทางในผู้ป่วย 1000 คนโดยที่ 520 คน (52%) มีภาวะสมองเสื่อมอัลไซเมอร์ จะพบว่ามีประมาณ 602 คนที่มีผลบวกของ ABeta42 ซึ่งจะบ่งบอกว่ามีภาวะสมองเสื่อมอัลไซเมอร์ ในจำนวนนี้ 192 คน (32%) ถูกแปลผลผิดว่าเป็นโรคอัลไซเมอร์ และจาก 398 คนที่ผลตรวจบ่งชี้ว่าไม่มีโรคอัลไซเมอร์ จะมี 110 คน (28%) ที่ถูกแปลผลผิดว่าไม่มีโรคอัลไซเมอร์ทั้งๆ ที่เป็นโรคอัลไซเมอร์ การศึกษาที่รวบรวมมาใช้ค่า cut-off ของ ABeta42 ที่ระดับต่างกันในการวินิจฉัยโรคอัลไซเมอร์และความแม่นยำของการทดสอบขึ้นอยู่กับค่า cut-off ของ ABeta42 ที่ใช้
ผลของการศึกษาในการทบทวนนี้มีความน่าเชื่อถือเป็นอย่างไร
ในการศึกษาส่วนใหญ่ การวินิจฉัยภาวะสมองเสื่อมอัลไซเมอร์ทำโดยใช้เกณฑ์การวินิจฉัยมาตรฐานในการประเมินผู้เข้าร่วมทั้งหมด ซึ่งน่าจะเป็นวิธีการที่เชื่อถือได้ในการวินิจฉัยว่าผู้ป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์จริงหรือไม่ อย่างไรก็ตาม มีปัญหาบางอย่างเกี่ยวกับระเบียบวิธีวิจัย ซึ่งอาจส่งผลให้ ABeta42 มีความแม่นยำมากกว่าที่เป็นจริง
ผลการตรวจสอบนี้นำไปใช้กับใคร
ผลลัพธ์จะนำไปใช้กับผู้ป่วยที่อยู่ระหว่างการประเมินภาวะสมองเสื่อมในคลินิกเฉพาะทาง
การประยุกต์ใช้ของการทบทวนวรรณกรรมนี้คืออะไร
การวัดระดับของ ABeta42 ในน้ำไขสันหลังอาจช่วยแยกโรคอัลไซเมอร์จากภาวะสมองเสื่อมประเภทอื่นๆ ได้ แต่การทดสอบนี้ยังไม่สมบูรณ์แบบ จึงไม่ควรใช้ ABeta42 เพียงอย่างเดียวในการวินิจฉัยโรค แต่การตรวจนี้อาจมีประโยชน์อย่างมากเมื่อใช้ร่วมกับการประเมินและการทดสอบอื่นๆ ในการวินิจฉัยภาวะสมองเสื่อม
ความเป็นปัจจุบันของการทบทวนนี้เป็นอย่างไร
ผู้ทบทวนได้สืบค้นการศึกษาที่ได้รับการตีพิมพ์จนถึงกุมภาพันธ์ 2020
การทบทวนของผู้วิจัยพบว่าการวัดระดับ ABeta42 ใน CSF อาจช่วยแยกภาวะ ADD ออกจากภาวะสมองเสื่อมชนิดอื่นๆ ได้ แต่การทดสอบยังไม่สมบูรณ์และมีแนวโน้มที่จะวินิจฉัยผู้ที่ไม่ได้เป็น ADD ว่ามี ADD จึงไม่แนะนำให้ใช้การตรวจ CSF ABeta42 เพียงอย่างเดียวในการจำแนกภาวะสมองเสื่อม อย่างไรก็ตาม ABeta42 อาจเป็นการตรวจที่เสริมกับการประเมินทางคลินิกเต็มรูปแบบเพื่อช่วยในการวินิจฉัยภาวะสมองเสื่อม
โรคสมองเสื่อม (dementia) เป็นกลุ่มอาการที่ประกอบด้วยพยาธิสภาพหลายอย่างที่แตกต่างกัน เช่น ภาวะสมองเสื่อมอัลไซเมอร์ (Alzheimer's disease dementia; ADD), ภาวะสมองเสื่อมจากหลอดเลือด (vascular dementia; VaD), และภาวะสมองเสื่อมที่สมองส่วน frontotemporal lobe (frontotemporal dementia; FTD) ผู้ป่วยอาจได้รับประโยชน์จากการทราบชนิดของโรคสมองเสื่อมที่พวกเขาเป็นอยู่ เนื่องจากจะบ่งชี้ถึงการพยากรณ์โรคและการรักษาที่เหมาะกับสาเหตุของโรค, โปรตีน Beta-amyloid (1-42) (ABeta42) เป็นโปรตีนที่พบว่ามีค่าลดลงทั้งในพลาสมาและน้ำไขสันหลัง (cerebrospinal fluid; CSF) ของผู้ป่วย ADD เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่ไม่มีภาวะสมองเสื่อม อย่างไรก็ตาม ยังไม่ชัดเจนว่าการลดลงของ ABeta42 มีความจำเพาะกับ ADD หรือไม่หรือก็พบในภาวะสมองเสื่อมประเภทอื่นๆ ได้เช่นกัน แต่เป็นไปได้ว่า ABeta42 สามารถช่วยแยก ADD จากชนิดย่อยอื่นๆ ของโรคสมองเสื่อมได้
เพื่อตรวจสอบความแม่นยำของการตรวจ ABeta42 ในพลาสมาและ CSF สำหรับการแยก ADD จากชนิดย่อยอื่นๆ ของโรคสมองเสื่อมในผู้ที่มีอาการเข้าเกณฑ์สมองเสื่อม
ผู้วิจัยสืบค้นใน MEDLINE และฐานข้อมูลอื่นๆ อีก 9 แหล่งจนถึงวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2020 และตรวจสอบรายการอ้างอิงของบทวิจารณ์ที่เป็นระบบที่เกี่ยวข้องเพื่อหาการศึกษาเพิ่มเติม
ผู้วิจัยสนใจการศึกษาแบบ cross-sectional studies ที่แยกผู้ป่วย ADD ออกจากชนิดย่อยอื่นๆ ของโรคสมองเสื่อม การศึกษาที่เข้าเกณฑ์จักต้องมีการวัดระดับ ABeta42 ในพลาสมาหรือ CSF ของผู้เข้าร่วมและมีการประเมินทางคลินิกเพื่อหาชนิดของภาวะสมองเสื่อม
ผู้วิจัย 7 คนได้ทำงานอย่างเป็นอิสระต่อกันในการคัดกรองชื่อเรื่องและบทคัดย่อที่พบจากการสืบค้น ผู้วิจัยได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะการศึกษาและความแม่นยำของการทดสอบ ผู้วิจัยใช้เครื่องมือ 'Quality Assessment of Diagnostic Accuracy Studies' (QUADAS-2) เวอร์ชันที่สองเพื่อประเมินความถูกต้องของผลลัพธ์ทั้งภายในและภายนอก และแยกข้อมูลออกเป็นตาราง 2 x 2 และวิเคราะห์ cross-tabulating index (ABeta42) กับมาตรฐานอ้างอิง (คือเกณฑ์การวินิจฉัยสำหรับโรคสมองเสื่อมแต่ละชนิด) นอกจากนี้ยังทำการวิเคราะห์เมตต้าโดยใช้แบบจำลอง bivariate, random-effects model เพื่อหาค่าโดยรวมของ sensitivity, specificity, positive predictive values, positive และ negative likelihood ratios และ 95% confidence intervals (CIs) ของแต่ละค่า
ในการวิเคราะห์เบื้องต้น ผู้วิจัยได้ประเมินความแม่นยำของการใช้ ABeta42 ในเลือดหรือ CSF สำหรับการแยก ADD ออกจากภาวะสมองเสื่อมชนิดอื่นๆ ที่ไม่ใช่อัลไซเมอร์ (non-ADD) จากนั้นจะประเมินความแม่นยำของ ABeta42 ในการแยก ADD จากโรคสมองเสื่อมชนิดต่างๆ แบบเฉพาะเจาะจง ได้แก่: VaD, FTD, dementia with Lewy bodies (DLB), alcohol-related cognitive disorder (ARCD), Creutzfeldt-Jakob disease (CJD) และ normal pressure hydrocephalus (NPH) ในการบ่งชี้ว่าผลตรวจเป็นบวก ผู้วิจัยจะใช้เกณฑ์ตัดสินค่า ABeta42 ที่ใช้ในแต่ละการศึกษาขั้นต้น จากนั้นจะทำการวิเคราะห์ sensitivity analyses เฉพาะการศึกษาที่ใช้เกณฑ์ตัดสิน ABeta42 ที่ใช้กันทั่วไป
ผู้วิจัยค้นพบการศึกษา 39 ฉบับ (ผู้เข้าร่วม 5,000 คน) ที่ใช้ค่าของ CSF ABeta42 เพื่อแยกภาวะ ADD ออกจากภาวะสมองเสื่อมชนิดอื่นๆ โดยไม่มีการศึกษาใดใช้ค่า ABeta42 จากเลือด ไม่มีการศึกษาใดที่ถูกประเมินว่ามีความเสี่ยงต่ำในการเกิดอคติในโดเมน QUADAS-2 ทั้งหมด แต่มีความเสี่ยงสูงของการเกิดอคติในโดเมนของการคัดเลือกผู้ป่วย (การศึกษา 28 ฉบับ) และ index test (การศึกษา 25 ฉบับ)
ผลลัพธ์รวมจากการศึกษาที่จำแนก ADD ออกจากภาวะสมองเสื่อมชนิดอื่นๆ มีดังนี้: ADD แยกกับ non-ADD: ความไว 79% (95% CI 0.73 ถึง 0.85) ความจำเพาะ 60% (95% CI 0.52 ถึง 0.67), การศึกษา 13 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 1704 คน, ผู้เข้าร่วม 880 คนที่มี ADD; ADD แยกกับ VaD: ความไว 79% (95% CI 0.75 ถึง 0.83), ความจำเพาะ 69% (95% CI 0.55 ถึง 0.81), การศึกษา 11 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 1151 คน, ผู้เข้าร่วม 941 คนที่มี ADD; ADD แยกกับ FTD: ความไว 85% (95% CI 0.79 ถึง 0.89), ความจำเพาะ 72% (95% CI 0.55 ถึง 0.84), การศึกษา 17 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 1948 คน, ผู้เข้าร่วม 1371 คนที่มี ADD; ADD แยกกับ DLB: ความไว 76% (95% CI 0.69 ถึง 0.82), ความจำเพาะ 67% (95% CI 0.52 ถึง 0.79), การศึกษา 9 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 1929 คน, ผู้เข้าร่วม 1521 คนที่มี ADD, โดยรวมแล้วความไวมีค่ามากกว่าความจำเพาะเมื่อเทียบกับภาวะสมองเสื่อมทั้งหมด และความสมดุลของความไวและความจำเพาะขึ้นอยู่กับเกณฑ์ cut-off ของผลบวกในแต่ละการตรวจ
ผู้แปล นพ.จักรพงศ์ รู้ปิติวิริยะ วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2021