การทดสอบ Mini-Cog แม่นยำแค่ไหนเมื่อใช้เพื่อประเมินภาวะสมองเสื่อมในเวชปฏิบัติทั่วไป

ความเป็นมาและเหตุผลในการทบทวนวรรณกรรม

ในหลายพื้นที่ของโลกมีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นจำนวนมาก และอาการเกี่ยวกับความจำและภาวะผิดปกติ เช่นโรคอัลไซเมอร์และภาวะสมองเสื่อมรูปแบบอื่นๆ กำลังกลายเป็นเรื่องธรรมดามากขึ้น บุคคลส่วนใหญ่ที่มีปัญหาด้านความจำจะแสวงหาการดูแลหรือพบในระบบการดูแลสุขภาพก่อนผ่านผู้ให้บริการดูแลสุขภาพหลัก ซึ่งอาจรวมถึงแพทย์ประจำครอบครัวหรือพยาบาล ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีเครื่องมือที่สามารถครวจหาบุคคลที่อาจมีภาวะสมองเสื่อมหรือมีปัญหาด้านความจำที่สำคัญ เครื่องมือเหล่านี้ควรจะสามารถแยกภาวะสมองเสื่อมในบุคคลที่มีอาการเกี่ยวกับความจำที่ไม่มีภาวะสมองเสื่อม หรือมีปัญหาด้านความจำที่สำคัญได้ เครื่องมือในการดูแลปฐมภูมิดังกล่าวต้องค่อนข้างใช้งานง่าย บริหารจัดการได้รวดเร็ว และแม่นยำ เพื่อให้สามารถนำไปใช้ในการดูแลปฐมภูมิได้ ในขณะเดียวกันก็ไม่ควรวินิจฉัยภาวะสมองเสื่อมเกินหรือต่ำเกินไป Mini-Cog ซึ่งเป็นเครื่องมือคัดกรองความรู้ความเข้าใจสั้นๆ ได้รับการแนะนำว่าเป็นวิธีตรวจคัดกรองภาวะสมองเสื่อมในการดูแลปฐมภูมิที่เป็นไปได้ เนื่องจากได้รับรายงานว่ามีความแม่นยำและค่อนข้างง่ายในการจัดการในสถานบริการปฐมภูมิ Mini-Cog ประกอบด้วยงานหน่วยความจำที่เกี่ยวข้องกับการเรียกคืนคำ 3 คำและการประเมินจากการให้ผู้ป่วยวาดรูปหน้าปัดนาฬิกา

ลักษณะของการศึกษา

เราสืบค้นฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์สำหรับบทความที่ประเมิน Mini-Cog และหลักฐานนี้เป็นข้อมูลล่าสุดในเดือนมกราคม 2017 วัตถุประสงค์ของการทบทวนวรรณกรรมของเราคือการเปรียบเทียบความแม่นยำของ Mini-Cog ในการตรวจหาภาวะสมองเสื่อมประเภทใดก็ได้ในสถานบริการปฐมภูมิ เมื่อเทียบกับการประเมินในเชิงลึกที่ดำเนินการโดยผู้เชี่ยวชาญด้านภาวะสมองเสื่อม เรารวมการศึกษาที่ประเมินบุคคลที่มีภาวะสมองเสื่อมทุกความรุนแรง และไม่ว่าจะมีการทดสอบความรู้ความเข้าใจเสร็จสิ้นก่อนหน้า Mini-Cog หรือไม่ โดยรวมแล้ว การทบทวนวรรณกรรมของเราพบการศึกษา 4 รายการ ที่ดำเนินการในสถานบริการปฐมภูมิ ซึ่งเปรียบเทียบความถูกต้องของ Mini-Cog กับการประเมินภาวะสมองเสื่อมโดยละเอียดโดยผู้เชี่ยวชาญโรคสมองเสื่อม

คุณภาพของหลักฐาน

จากการศึกษา 4 รายการที่รวมอยู่ในการทบทวนวรรณกรรม ทั้งหมดยกเว้น 1 การศึกษามีข้อจำกัดในการประเมิน Mini-Cog ซึ่งอาจนำไปสู่การประเมินความถูกต้องของ Mini-Cog ในการศึกษาที่เหลือสูงเกินไป ประเด็นที่เป็นปัญหามากที่สุดในคุณภาพการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับการเลือกผู้เข้าร่วมในการศึกษาวิจัย ซึ่งอาจมีส่วนทำให้ประเมินความถูกต้องของ Mini-Cog สูงเกินไปในการศึกษาส่วนใหญ่ที่รวมอยู่ในการทบทวนวรรณกรรมของเรา

ผลการศึกษาที่สำคัญ

ผลการศึกษาคุณภาพสูงสุด Holsinger 2012 พบว่า Mini-Cog มีความไว 76% ซึ่งบ่งชี้ว่า Mini-Cog ล้มเหลวในการตรวจหาบุคคลที่มีภาวะสมองเสื่อมถึง 24% (เช่น ผลลบลวง) ในการศึกษาเดียวกันนี้ ความเฉพาะของ Mini-Cog อยู่ที่ 73% บ่งชี้ว่า 27% ของบุคคลอาจถูกบอกอย่างไม่ถูกต้องว่ามีภาวะสมองเสื่อมใน Mini-Cog เมื่อบุคคลเหล่านี้ไม่มีภาวะสมองเสื่อมอยู่จริง (เช่น ผลบวกลวง) . เราสรุปว่าในปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะสนับสนุนการใช้ Mini-Cog เป็นประจำในการตรวจคัดกรองภาวะสมองเสื่อมในการดูแลเบื้องต้น และจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมก่อนที่จะสรุปว่า Mini-Cog มีประโยชน์ในบริบทนี้

ข้อสรุปของผู้วิจัย: 

มีการศึกษาจำนวนจำกัดที่ประเมินความถูกต้องของ Mini-Cog สำหรับการวินิจฉัยภาวะสมองเสื่อมในสถานบริการปฐมภูมิ จากการศึกษาจำนวนน้อย ค่าการประเมินความแม่นยำของ Mini-Cog กว้างมาก และข้อจำกัดด้านระเบียบวิธีที่ระบุไว้ในการศึกษาส่วนใหญ่ ในปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะแนะนำให้ใช้ Mini-Cog เป็นการตรวจคัดกรองภาวะสมองเสื่อมในสถานบริการปฐมภูมิ จำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อประเมินความแม่นยำของ Mini-Cog ในการดูแลเบื้องต้น และเครื่องมือนี้มีความแม่นยำในการทดสอบวินิจฉัยเพียงพอที่จะเป็นประโยชน์ในการทดสอบคัดกรองในบริบทนี้หรือไม่

อ่านบทคัดย่อฉบับเต็ม
บทนำ: 

โรคอัลไซเมอร์และภาวะสมองเสื่อมรูปแบบอื่นๆ กำลังทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อประชากรส่วนใหญ่มีอายุมากขึ้น บุคคลที่มีภาวะสมองเสื่อมส่วนใหญ่จะเข้ารับการรักษาและประเมินผลในสถานบริการปฐมภูมิก่อน จำเป็นต้องมีเครื่องมือคัดกรองภาวะสมองเสื่อมแบบสั้นๆ ที่สามารถตรวจหาภาวะสมองเสื่อมได้อย่างแม่นยำในสถานบริการปฐมภูมิ Mini-Cog เป็นการทดสอบสั้นๆ แบบคัดกรองความรู้ความเข้าใจ ซึ่งมักใช้ในการประเมินความรู้ความเข้าใจในผู้สูงอายุในสภาพแวดล้อมต่างๆ

วัตถุประสงค์: 

เพื่อประเมินความแม่นยำของ Mini-Cog ในการตรวจหาภาวะสมองเสื่อมในสถานบริการปฐมภูมิ

วิธีการสืบค้น: 

เราสืบค้น Cochrane Dementia and Cognitive Improvement Register of Diagnostic Test Accuracy Studies, MEDLINE, Embase และฐานข้อมูลอื่นๆ อีก 4 ฐานข้อมูล เริ่มตั้งแต่เดือนกันยายน 2012 ตั้งแต่นั้นมา มีการปรับปรุงการสืบค้น 4 ครั้งโดยใช้วิธีการสืบค้นเดียวกัน และล่าสุดคือมกราคม 2017 เราใช้การติดตามการอ้างอิง (โดยใช้คุณลักษณะ 'related articles' ของฐานข้อมูล หากมี) เป็นวิธีการสืบค้นเพิ่มเติม และติดต่อผู้นิพนธ์การศึกษาที่เข้าเกณฑ์ สำหรับข้อมูลที่ไม่ได้ตีพิมพ์

เกณฑ์การคัดเลือก: 

เรารวมเฉพาะการศึกษาที่ประเมิน Mini-Cog เป็น index test สำหรับการวินิจฉัยโรคอัลไซเมอร์หรือภาวะสมองเสื่อมในรูปแบบที่เกี่ยวข้อง เมื่อเปรียบเทียบกับมาตรฐานอ้างอิงที่ใช้เกณฑ์การตรวจสอบสำหรับภาวะสมองเสื่อม เรารวมเฉพาะการศึกษาที่ดำเนินการในกลุ่มผู้ป่วยปฐมภูมิเท่านั้น

การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล: 

เราดึงข้อมูลและบรรยายข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะของผู้เข้าร่วมการศึกษาและบริบทของการศึกษา โดยใช้ Quality Assessment of Diagnostic Accuracy Studies (QUADAS-2) เราประเมินคุณภาพของการศึกษา และเราประเมินความเสี่ยงของการมีอคติและการบังคับใช้ของแต่ละการศึกษาสำหรับแต่ละโดเมนใน QUADAS-2 ผู้ประพันธ์การทบทวนวรรณกรรม 2 คน ดึงข้อมูลเกี่ยวกับผลบวกจริง, ผลลบจริง, ผลบวกลวง และผลลบลวงอย่างอิสระ และป้อนข้อมูลลงใน Review Manager 5 (RevMan 5) จากนั้นเราใช้ RevMan 5 เพื่อกำหนดความไว, ความจำเพาะ และช่วงความเชื่อมั่น 95% เราสรุปความไวและความจำเพาะของ Mini-Cog ในการศึกษาแต่ละเรื่องใน forest plot และยังใส่ไว้ใน receiver operating characteristic plot นอกจากนี้เรายังได้สร้างกราฟ 'ความเสี่ยงของการมีอคติ' และการบังคับใช้เพื่อสรุปข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพของการศึกษาที่รวมไว้

ผลการวิจัย: 

มีการศึกษาทั้งหมด 4 รายการที่ตรงตามเกณฑ์การคัดเลือกของเรา ซึ่งมีผู้เข้าร่วมทั้งหมด 1517 คน ความไวของ Mini-Cog ในการศึกษา แตกต่างกันไประหว่าง 0.76 ถึง 1.00 ในขณะที่ความจำเพาะแตกต่างกันระหว่าง 0.27 ถึง 0.85 การศึกษาที่รวบรวมได้แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างที่มีนัยสำคัญทั้งในวิธีการและกลุ่มประชากรทางคลินิก ซึ่งไม่สามารถทำ meta-analtsis ได้ มีเพียงการศึกษา 1 รายการ (Holsinger 2012) ที่พบว่ามีความเสี่ยงของการมีอคติต่ำในทุกขอบเขตของระเบียบวิธีวิจัย ผลการศึกษานี้รายงานว่าความไวของ Mini-Cog เท่ากับ 0.76 และความจำเพาะเท่ากับ 0.73 เราพบว่าการศึกษาอื่นๆ ที่นำเข้ามามีคุณภาพต่ำ เนื่องจากมีความเสี่ยงของการมีอคติสูง โดยมีข้อจำกัดด้านระเบียบวิธีวิจัยเป็นหลักในการคัดเลือกผู้เข้าร่วม

บันทึกการแปล: 

แปลโดย ศ.นพ.ภิเศก ลุมพิกานนท์ ภาควิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น วันที่ 26 กรกฎาคม 2021

Tools
Information