การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอย่างเข้มงวดก่อน ระหว่าง และหลังการผ่าตัดในผู้ป่วยเบาหวานมีผลกระทบอย่างไร

ใจความสำคัญ

- การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดแบบเข้มข้นทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลง ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงของ 'ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ' (ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำต่ำกว่าระดับที่ดีต่อสุขภาพ)

- การควบคุมอย่างเข้มข้นไม่ได้ลดอัตราการเสียชีวิต อีกทั้งไม่อาจลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ปัญหาไต หรือเวลาในการอยู่โรงพยาบาลหรือหอผู้ป่วยหนัก อย่างไรก็ตาม การควบคุมอย่างเข้มงวดอาจลดความเสี่ยงของปัญหาหลอดเลือดและหัวใจได้

- จำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อทำความเข้าใจผลของการแทรกแซงนี้ต่อการผ่าตัดประเภทต่างๆ

สิ่งที่รู้อยู่แล้ว

ระยะผ่าตัดคือเวลาโดยรอบขั้นตอนการผ่าตัดของแต่ละบุคคล ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วย การดมยาสลบ และการพักฟื้นหลังการผ่าตัด ครอบคลุมระยะก่อนการผ่าตัด (ก่อนการผ่าตัด) ระหว่างการผ่าตัด (ระหว่างการผ่าตัด) และหลังการผ่าตัด (หลังการผ่าตัด) ผู้ที่เป็นเบาหวานมีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัดมากกว่าคนทั่วไป โรคเบาหวานเป็นปัจจัยเสี่ยงที่รู้จักกันดีสำหรับภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัด ทำให้ต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาลนานขึ้น การใช้ทรัพยากรด้านการรักษาพยาบาลสูงขึ้น และเสียชีวิตมากขึ้น ภาวะแทรกซ้อนทางการแพทย์ที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งคือความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของการติดเชื้อในช่วงเวลาระหว่างการผ่าตัด อย่างไรก็ตาม ยังไม่ชัดเจนว่าการกำหนดเป้าหมายไปที่การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดแบบเข้มข้นมากขึ้น (การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด) ในระหว่างช่วงผ่าตัดจะดีกว่าการกำหนดเป้าหมายระดับน้ำตาลในเลือดแบบเดิมๆ เพื่อลดความเสี่ยงในการผ่าตัดในผู้ป่วยเบาหวานหรือไม่

เราต้องการค้นหาอะไร

ผลลัพธ์ของการทบทวนครั้งก่อนยังไม่ชัดเจนเกี่ยวกับวิธีการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดระหว่างการผ่าตัดในผู้ป่วยเบาหวาน ดังนั้นเราจึงดำเนินการปรับปรุงเพื่อให้ได้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ล่าสุดเกี่ยวกับการจัดการกลูโคสในผู้ที่เข้ารับการผ่าตัด

เราพบอะไร

เราพบการศึกษาใหม่ 8 ฉบับที่เพิ่มจาก 12 ฉบับก่อนหน้านี้ที่รวมอยู่ในการทบทวนครั้งล่าสุด ดังนั้นขณะนี้มีการศึกษาทั้งหมด 20 ฉบับจึงรวมอยู่ในการทบทวนนี้ การทดลองทั้งหมดประเมินการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอย่างเข้มข้น เรารวมผู้เข้าร่วม 1320 รายที่เป็นโรคเบาหวานถูกสุ่มไปยังกลุ่มควบคุมระดับน้ำตาลกลูโคสแบบเข้มข้นระหว่างการผ่าตัด และผู้เข้าร่วม 1350 รายที่เป็นโรคเบาหวานถูกสุ่มเป็นกลุ่มควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดแบบปกติในการวิเคราะห์ของเรา การทดลองดำเนินการในทุกทวีป ระยะเวลาของการแทรกแซงแตกต่างกันไปตั้งแต่ระหว่างการผ่าตัดไปจนถึงห้าวันหลังการผ่าตัด อายุเฉลี่ยของผู้เข้าร่วมคือ 63 ปี

อะไรคือผลลัพธ์หลักของการการทบทวนวรรณกรรมของเรา

แม้ว่าระดับของน้ำตาลในเลือดจะลดลงในระหว่างช่วงผ่าตัด การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดแบบเข้มข้นอาจทำให้ผลลัพธ์หลังการผ่าตัดที่เกี่ยวข้องลดลงเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย เช่น ความเสี่ยงของการติดเชื้อ ปัญหาเกี่ยวกับไต และการพักรักษาในโรงพยาบาลและหอผู้ป่วยหนัก ในทำนองเดียวกัน การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอย่างเข้มข้นส่งผลให้เกิดความแตกต่างเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลยของการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุ

เมื่อเปรียบเทียบกับการควบคุมกลูโคสแบบทั่วไป การควบคุมกลูโคสแบบเข้มข้นอาจช่วยลดความเสี่ยงของปัญหาหลอดเลือดและหัวใจได้

การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดแบบเข้มข้นอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำเล็กน้อย ซึ่งรวมถึงเหตุการณ์ร้ายแรงด้วย

ข้อจำกัดของหลักฐานคืออะไร

เรามีความมั่นใจสูงในผลลัพธ์ของการตาย แต่ความมั่นใจของเราต่ำหรือต่ำมากสำหรับผลลัพธ์อื่นๆ เนื่องจากข้อจำกัดในการศึกษา และผลลัพธ์ที่ไม่ชัดเจนและไม่สอดคล้องกัน

หลักฐานเป็นปัจจุบันแค่ไหน

หลักฐานนี้เป็นปัจจุบันจนถึงวันที่ 25 กรกฎาคม 2022

ข้อสรุปของผู้วิจัย: 

หลักฐานความเชื่อมั่นสูงบ่งชี้ว่าการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดแบบเข้มข้นระหว่างการผ่าตัดในผู้ป่วยเบาหวานที่ได้รับการผ่าตัดไม่ได้ลดอัตราการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุเมื่อเปรียบเทียบกับการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดแบบปกติ มีหลักฐานความเชื่อมั่นต่ำว่าการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดแบบเข้มข้นอาจลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ แต่ทำให้เกิดความแตกต่างเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลยของความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อหลังการแทรกแซง ในขณะที่อาจเพิ่มความเสี่ยงของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ไม่มีความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างกลุ่มสำหรับผลลัพธ์อื่นๆ มีความไม่แน่นอนในกลุ่มผู้ป่วยที่ควบคุมเข้มข้นและกลุ่มปกติเกี่ยวกับขั้นตอนที่เหมาะสมของการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและเป้าหมายของระดับน้ำตาลในเลือด นอกจากนี้ เราพบข้อมูลที่ไม่ดีเกี่ยวกับคุณภาพชีวิตที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม และการเพิ่มของน้ำหนัก และต้องเน้นย้ำถึงความแตกต่างระหว่างการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับผลลัพธ์ทางคลินิกและแนวทางระเบียบวิธีวิจัยที่ใช้ จำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมที่พิจารณาปัจจัยเหล่านี้และให้หลักฐานที่มีคุณภาพสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผลลัพธ์ เช่น ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำและภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อ

อ่านบทคัดย่อฉบับเต็ม
บทนำ: 

ผู้ที่เป็นเบาหวานมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นต่อภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัด ข้อมูลจากการทดลองทางคลินิกแบบสุ่มและการวิเคราะห์เมตต้าชี้ไปที่ประโยชน์ที่เป็นไปได้ของการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดแบบเข้มงวด โดยกำหนดเป้าหมายระดับน้ำตาลในเลือดใกล้เคียงปกติ ในผู้ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง (ที่มีและไม่มีเบาหวาน) ที่ถูกส่งเข้ารับการผ่าตัด อย่างไรก็ตาม มีหลักฐานจำกัดเกี่ยวกับคำถามนี้ในผู้ป่วยเบาหวานที่ได้รับการผ่าตัด

วัตถุประสงค์: 

เพื่อประเมินผลของการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดระหว่างการผ่าตัดในผู้ป่วยเบาหวานที่เข้ารับการผ่าตัด

วิธีการสืบค้น: 

สำหรับการปรับปรุงนี้ เราค้นหาฐานข้อมูล CENTRAL, MEDLINE, LILACS, WHO ICTRP และ ClinicalTrials.gov วันที่ค้นหาฐานข้อมูลทั้งหมดครั้งสุดท้ายคือ 25 กรกฎาคม 2022 เราไม่มีข้อจำกัดด้านภาษา

เกณฑ์การคัดเลือก: 

เรารวมการทดลองทางคลินิกแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุม (RCTs) ที่ระบุเป้าหมายที่แตกต่างกันของการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดระหว่างการผ่าตัดสำหรับผู้เข้าร่วมที่เป็นโรคเบาหวาน (การดูแลแบบเข้มข้นเทียบกับแบบปกติหรือแบบมาตรฐาน)

การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล: 

ผู้ทบทวนวรรณกรรม 2 คน ดึงข้อมูล และประเมินความเสี่ยงของการมีอคติ อย่างเป็นอิสระต่อกัน ผลลัพธ์หลักของเราคือการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุ เหตุการณ์ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ และภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อ ผลลัพธ์รอง ได้แก่ เหตุการณ์เกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด ภาวะไตวาย ระยะเวลาในการพักรักษาในโรงพยาบาลและการเข้ารักษาในหอผู้ป่วยหนัก (ICU) คุณภาพชีวิตที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม น้ำหนักที่เพิ่มขึ้น และค่าเฉลี่ยระดับน้ำตาลในเลือดในระหว่างการรักษา เราสรุปการศึกษาโดยใช้การวิเคราะห์อภิมานด้วยแบบจำลองผลกระทบแบบสุ่ม และคำนวณอัตราส่วนความเสี่ยง (RR) สำหรับผลลัพธ์แบบไดโคโตมัสและผลต่างเฉลี่ย (MD) สำหรับผลลัพธ์ต่อเนื่อง โดยใช้ช่วงความเชื่อมั่น 95% (CI) หรือสรุปผลลัพธ์ด้วยวิธีบรรยาย เราใช้แนวทาง GRADE เพื่อประเมินความเชื่อมั่นของหลักฐาน (CoE)

ผลการวิจัย: 

มีการศึกษาเพิ่มเติมทั้งหมด 8 ฉบับจากการศึกษา 12 ฉบับที่นำเข้าในการทบทวนครั้งก่อน นำไปสู่ ​​RCT 20 ฉบับที่รวมอยู่ในการปรับปรุงการทบทวนวรรณกรรมครั้งนี้ ผู้เข้าร่วมทั้งหมด 2670 คนได้รับการสุ่ม โดย 1320 คนได้รับการจัดสรรให้กับกลุ่มการรักษาแบบเข้มข้น และ 1350 คนถูกจัดสรรให้เป็นกลุ่มเปรียบเทียบ ระยะเวลาของการแทรกแซงแตกต่างกันไปตั้งแต่ระหว่างการผ่าตัดไปจนถึง 5 วันหลังการผ่าตัด ไม่มีการศึกษาที่รวบรวมไว้ที่มีความเสี่ยงของการมีอคติโดยรวมต่ำ

การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดแบบเข้มข้นส่งผลให้เกิดความแตกต่างของการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลยเมื่อเทียบกับการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดแบบปกติ (130/1263 (10.3%) และ 117/1288 (9.1%) เหตุการณ์, RR 1.08, 95% CI 0.88 ถึง 1.33; I 2 = 0%; ผู้เข้าร่วม 2551 คน การศึกษา 18 ฉบับ CoE สูง)

เหตุการณ์ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำทั้งรุนแรงและไม่รุนแรง มักพบในกลุ่มควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดแบบเข้มข้น การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดแบบเข้มข้นอาจเพิ่มเหตุการณ์ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำเล็กน้อยเมื่อเทียบกับการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดแบบปกติ (141/1184 (11.9%) และ 41/1226 (3.3%) เหตุการณ์, RR 3.36, 95% CI 1.69 ถึง 6.67; I 2 = 64%; ผู้เข้าร่วม 2410 คน การศึกษา 17 ฉบับ; CoE ต่ำ) รวมถึงเหตุการณ์ที่ถือว่ารุนแรง (37/927 (4.0%) และ 6/969 (0.6%), RR 4.73, 95% CI 2.12 ถึง 10.55; I 2 = 0%; ผู้เข้าร่วม 1896 คน การศึกษา 11 ฉบับ; CoE ต่ำ)

การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดแบบเข้มข้น เมื่อเปรียบเทียบกับการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดแบบเดิม อาจส่งผลให้เกิดความแตกต่างพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลยของอัตราภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อ (เหตุการณ์ 160/1228 (13.0%) เทียบกับ 224/1225 (18.2%), RR 0.75, 95% CI 0.55 ถึง 1.04 ; P = 0.09; I 2 = 55%; ผู้เข้าร่วม 2453 คน การศึกษา 18 ฉบับ; CoE ต่ำ)

การวิเคราะห์ผลลัพธ์รองที่กำหนดไว้ล่วงหน้าพบว่าการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดแบบเข้มข้นอาจส่งผลให้เหตุการณ์หัวใจและหลอดเลือดลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดแบบทั่วไป (107/955 (11.2%) เทียบกับเหตุการณ์ 125/978 (12.7%), RR 0.73, 95% CI 0.55 ถึง 0.97; P = 0.03; I 2 = 44%; ผู้เข้าร่วม 1454 คน การศึกษา 12 ฉบับ; CoE ต่ำ) นอกจากนี้ การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดแบบเข้มข้นทำให้เกิดเหตุการณ์ภาวะไตวายที่แตกต่างกันเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลยเมื่อเทียบกับการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดแบบปกติ (137/1029 (13.3%) และ 158/1057 (14.9%), RR 0.92, 95% CI 0.69 ถึง 1.22; P = 0.56 ; I 2 = 38%; ผู้เข้าร่วม 2086 คน การศึกษา 14 ฉบับ; CoE ต่ำ)

เราพบความแตกต่างเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลยระหว่างการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดแบบเข้มข้นและการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดแบบปกติในระยะเวลาที่อยู่ในห้อง ICU (MD -0.10 วัน, 95% CI -0.57 ถึง 0.38; P = 0.69; I 2 = 69%; ผู้เข้าร่วม 1687 คน, การศึกษา 11 ฉบับ; CoE ต่ำ ) และระยะเวลาในการนอนโรงพยาบาล (MD -0.79 วัน, 95% CI -1.79 ถึง 0.21; P = 0.12; I 2 = 77%; ผู้เข้าร่วม 1520 คน การศึกษา 12 ฉบับ; CoE ต่ำมาก) เนื่องจากความแตกต่างภายในการศึกษาที่รวบรวมมา เราไม่ได้รวบรวมข้อมูลสำหรับการลดระดับน้ำตาลในเลือดเฉลี่ย การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดแบบเข้มข้นส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงเฉลี่ยตั้งแต่ 13.42 มก./ดล. ถึง 91.30 มก./ดล. การทดลอง 1 ฉบับ ประเมินคุณภาพชีวิตที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพในผู้เข้าร่วม 12/37 คนในกลุ่มควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดแบบเข้มข้น และผู้เข้าร่วม 13/44 คนในกลุ่มควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดแบบปกติ ไม่มีการแสดงความแตกต่างที่สำคัญในคะแนนประกอบสุขภาพกายที่วัดได้ของการสำรวจสุขภาพแบบสั้น 12 รายการ (SF-12) การศึกษาย่อยหนึ่งรายงานการวิเคราะห์ต้นทุนของประชากรของการศึกษาที่รวบรวมไว้ ซึ่งแสดงค่าใช้จ่ายรวมของโรงพยาบาลที่สูงขึ้นในกลุ่มควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดแบบปกติ 42,052 เหรียญสหรัฐฯ (32,858 ถึง 56,421) เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดแบบเข้มข้น 40,884 เหรียญสหรัฐฯ (31.216 ถึง 49,992) สิ่งสำคัญคือต้องชี้ให้เห็นว่ามีความแตกต่างที่เกี่ยวข้องกันระหว่างการศึกษาสำหรับผลลัพธ์หลายประการ

เราพบการศึกษาที่กำลังดำเนินอยู่ 2 รายการ ผลการศึกษาเหล่านี้อาจเพิ่มข้อมูลใหม่ในการปรับปรุงในอนาคตในหัวข้อนี้

บันทึกการแปล: 

แปลโดย พญ.วิลาสินี หน่อแก้ว โรงพยาบาลมะเร็งอุบลราชธานี Edit โดย ศ. พญ. ผกากรอง ลุมพิกานนท์ 1 เมษายน 2024

Tools
Information