วัตถุประสงค์ของการทบทวนวรรณกรรมนี้คืออะไร
เรามีจุดมุ่งหมายเพื่อตรวจสอบว่าการรักษาเพื่อควบคุมให้โรคสงบอยู่ตลอดที่มีอยู่ในปัจจุบันสำหรับการควบคุมโรคในผู้ใหญ่ที่เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซติกเรื้อรัง (CLL) มีความสมดุลที่ยอมรับได้ระหว่างคุณประโยชน์และอันตรายหลังได้รับการรักษาครั้งก่อนหน้านี้หรือไม่
ใจความสำคัญ
เราพบว่าการรักษาเพื่อควบคุมให้โรคสงบอยู่ตลอดในผู้ใหญ่ที่เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซติกเรื้อรัง หลังได้รับการรักษาครั้งก่อนนี้อาจส่งผลเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีผลเลยต่อการอยู่รอดในระยะยาว นอกจากนี้เรายังพบว่าการรักษาเพื่อควบคุมให้โรคสงบอยู่ตลอดอาจเพิ่มช่วงระยะเวลาที่ควบคุมโรค แต่ก็มีความสัมพันธ์กับการเพิ่มขึ้นของเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ร้ายแรงที่มาจากยาและเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ทั้งหมด
การทบทวนวรรณกรรมนี้ศึกษาอะไร
มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซติกเรื้อรัง คือ มะเร็งในเลือดที่ส่งผลต่อเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งเป็นกลุ่มของเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่ช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับการติดเชื้อและโรคต่างๆ ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา อัตราการควบคุมและการรอดชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากการใช้เคมีบำบัดร่วมกับการบำบัดด้วยภูมิคุ้มกัน ตามมาด้วยการนำการบำบัดแบบมุ่งเป้าทางช่องปากแบบใหม่มาใช้เป็นวิธีการรักษาหลักสำหรับมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซติกเรื้อรัง แม้จะมีความก้าวหน้าเหล่านี้ ผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซติกเรื้อรัง ก็อาจยังมีการดื้อต่อการรักษาของโรคได้ การรักษาเพื่อควบคุมให้โรคสงบอยู่ตลอดมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มการตอบสนองต่อการรักษาและยืดอายุการรอดชีวิต แต่ก็ยังอาจเพิ่มความเสี่ยงของเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ด้วย ยาที่มีอยู่สำหรับการรักษาเพื่อควบคุมให้โรคสงบอยู่ตลอด ได้แก่ anti-CD20 monoclonal antibodies (mAbs), immunomodulatory drugs และ anti-CD52 mAbs ยาเหล่านี้เต็มไปด้วยความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงที่รุนแรงเนื่องจากการใช้ยาระยะยาว ยังไม่ชัดเจนว่าประโยชน์ของการรักษาเพื่อควบคุมให้โรคสงบอยู่ตลอดมีสมดุลความเสี่ยงหรือไม่ เนื่องจากอาจไม่บรรลุความสมดุลที่น่าพอใจระหว่างการควบคุมโรคและการอยู่รอดในระยะยาว โดยไม่เพิ่มการเสียชีวิตที่มาจากการรักษาหรือเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ ผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซติกเรื้อรัง ที่อาการบรรเทาหลังการรักษาช่วงแรกจึงต้องชั่งน้ำหนักประโยชน์และความเสี่ยงช่วงเฝ้าสังเกตการณ์ทางการแพทย์หรือการรักษาเพื่อควบคุมให้โรคสงบอยู่ตลอดด้วยความระมัดระวัง
เราต้องการค้นหาอะไร
เราต้องการทราบว่าการรักษาเพื่อควบคุมให้โรคสงบอยู่ตลอดหลังการรักษาครั้งก่อนหน้านนี้มีประสิทธิภาพในการควบคุมโรคในผู้ใหญ่ที่เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซติกเรื้อรังหรือไม่ และทำให้เกิดผลข้างเคียงหรือไม่
เราทำอะไรไปแล้วบ้าง
เราค้นหาการศึกษาที่เปรียบเทียบการรักษาเพื่อควบคุมให้โรคสงบอยู่ตลอดกับยาหลอก (การจำลองการรักษาหลอก) หรือการสังเกต หรือการเปรียบเทียบการรักษาสองวิธีที่เปรียบเทียบกันโดยตรง (head-to-head) เราเปรียบเทียบและสรุปผลและให้คะแนนความเชื่อมั่นของเราในหลักฐาน โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น วิธีการและขนาดของการศึกษา
ผู้วิจัยค้นพบอะไร
เราพบการศึกษาได้ 11 ฉบับ (ผู้เข้าร่วม 2393 คน) ที่รวบรวมเข้าในการทบทวนวรรณกรรมนี้ การศึกษาทั้งหมดเป็นการทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุม (RCT) ซึ่งเป็นการศึกษาทางคลินิกที่น่าเชื่อถือที่สุด เนื่องจากการศึกษาเหล่านี้จัดสรรผู้เข้าร่วมในการศึกษาให้ได้รับการรักษา (กลุ่มทดลอง) หรือไม่ได้รับการรักษา (กลุ่มควบคุม) แบบสุ่ม เราสังเคราะห์หลักฐานจากการศึกษา 10 ฉบับ (ผู้เข้าร่วม 2341 คน) เพื่อประเมินประโยชน์และโทษอันตรายของการรักษาเพื่อควบคุมให้โรคสงบอยู่ตลอดต่อผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซติกเรื้อรัง เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุมที่ได้รับการสังเกตอาการหรือยาหลอก (การรักษาแบบหลอก)
เมื่อเปรียบเทียบกับการสังเกตพบว่า anti-CD20 mAbs อาจมีผลเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีผลเลยต่อการรอดชีวิตโดยรวม (หลักฐานจากการศึกษา 3 ฉบับ ที่มีผู้เข้าร่วม 1152 คน) แต่เวลาที่ควบคุมโรคอาจเพิ่มขึ้นได้ (การอยู่รอดที่ปราศจากการลุกลาม) (หลักฐานจากการศึกษา 5 ฉบับ ที่มีผู้เข้าร่วม 1255 คน)
เมื่อเปรียบเทียบกับยาหลอก/การสังเกต พบว่า IMiD อาจมีความแตกต่างเพียงเล็กน้อยหรือไม่ต่างเลยต่อการรอดชีวิตโดยรวม (หลักฐานจากการศึกษา 3 ฉบับ มีผู้เข้าร่วมในการศึกษา 461 ราย) แต่เป็นไปได้ว่าผลการอยู่รอดโดยปราศจากการลุกลามของโรคเพิ่มขึ้นอย่างมาก (หลักฐานจากการศึกษา 3 ฉบับ ผู้เข้าร่วมในการศึกษา 461 ราย)
เมื่อเปรียบเทียบกับการสังเกต ยาต้าน CD20 mAbs อาจส่งผลให้เกิดผลข้างเคียงที่ร้ายแรงเพิ่มขึ้น (หลักฐานจากการศึกษา 5 ฉบับ ที่มีผู้เข้าร่วม 1284 คน) แต่อาจไม่ส่งผลกระทบต่อโอกาสที่จะเสียชีวิตจากการรักษา (หลักฐานจากการศึกษา 4 ฉบับ ที่มีผู้เข้าร่วม 1189 คน) ยา anti-CD20 mAbs อาจลดจำนวนผู้ที่หยุดการรักษาลงเล็กน้อย (หลักฐานจากการศึกษา 6 ฉบับ มีผู้เข้าร่วม 1321 คน) แต่อาจเพิ่มจำนวนผลข้างเคียงโดยรวมเล็กน้อย (หลักฐานจากการศึกษา 6 ฉบับ มีผู้เข้าร่วม 1321 คน)
เมื่อเปรียบเทียบกับยาหลอก/การสังเกต พบว่า IMiD อาจส่งผลให้เกิดผลข้างเคียงที่ร้ายแรงเพิ่มขึ้น (หลักฐานจากการศึกษา 2 ฉบับ ที่มีผู้เข้าร่วม 400 คน) และอาจเพิ่มจำนวนผู้เสียชีวิตเนื่องจากการบำบัดรักษาเพื่อควบคุมโรคเล็กน้อย (หลักฐานจากการศึกษา 3 ฉบับ ที่มีผู้เข้าร่วม 458 คน) หลักฐานของผลกระทบจาก IMiD ต่อจำนวนผู้ที่หยุดการรักษานั้นไม่แน่นอนอย่างมากมาก (หลักฐานจากการศึกษา 2 ฉบับ ที่มีผู้เข้าร่วม 400 คน) แต่ IMiD อาจจะเพิ่มจำนวนผลข้างเคียงโดยรวมได้ (หลักฐานจากการศึกษา 3 ฉบับ ที่มีผู้เข้าร่วม 458 คน)
มีหลักฐานไม่เพียงพอที่จะบอกได้ว่าการรักษาเพื่อควบคุมให้โรคสงบอยู่ตลอดด้วย anti-CD20 mAbs ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตที่สัมพันธ์กับสุขภาพหรือไม่ และความเชื่อมั่นของเราต่อหลักฐานต่ำ (หลักฐานจากการศึกษา 1 ฉบับ มีผู้เข้าร่วม 480 คน)
เราไม่พบการศึกษาที่ประเมินวิธีการบำรุงรักษาแบบใหม่อื่นๆ เช่น ตัวยับยั้งตัวรับ B-cell, ตัวยับยั้ง B-cell leukaemia-2/lymphoma-2 หรือ obinutuzumab
หลักฐานมีข้อจำกัดอะไรบ้าง
ความเชื่อมั่น (ความมั่นใจ) โดยรวมของหลักฐานส่วนใหญ่อยู่ในระดับปานกลางถึงต่ำเนื่องจากปัญหาภายในการทดลอง เช่น ความเป็นไปได้ในการเกิดอคติ ความแตกต่างในลักษณะพื้นฐาน และการประมาณค่าของวิธีการที่ไม่แม่นยำ
ความเป็นปัจจุบันของการทบทวนวรรณกรรมนี้
หลักฐานเป็นปัจจุบันถึง เดือนมกราคม 2022
ขณะนี้มีหลักฐานความเชื่อมั่นปานกลางถึงต่ำมากเกี่ยวกับประโยชน์และความอันตรายของการรักษาเพื่อควบคุมให้โรคสงบอยู่ตลอดในผู้ที่เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรังชนิดลิมโฟไซติก การรักษาเพื่อควบคุมให้โรคสงบอยู่ตลอดด้วยยา Anti-CD20 mAbs เพิ่มการอยู่รอดโดยปราศจากการลุกลาม แต่ก็ยังเพิ่มเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ระดับ 3 และ 4 และ เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ทั้งหมดอีกด้วย การรักษาเพื่อควบคุมให้โรคสงบอยู่ตลอดด้วย IMiD มีผลอย่างมากต่อการอยู่รอดโดยปราศจากการลุกลาม แต่ก็ยังเพิ่มเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ระดับ 3 และ 4 ด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ไม่มีวิธีการรักษาเพื่อควบคุมให้โรคสงบอยู่ตลอดที่กล่าวถึงข้างต้นใดที่แสดงความแตกต่างในเรื่องการอยู่รอดโดยรวม ระหว่างกลุ่มที่ได้รับการรักษาเพื่อควบคุมให้โรคสงบอยู่ตลอดและกลุ่มควบคุม ผลของการรักษาเพื่อควบคุมให้โรคสงบอยู่ตลอดด้วย alemtuzumab มีความไม่แน่นอน ควบคู่ไปกับคำเตือนเกี่ยวกับความเป็นพิษจากการติดเชื้อที่ส่งผลจากยา เราไม่พบการศึกษาที่ประเมินวิธีการการรักษาเพื่อควบคุมให้โรคสงบอยู่ตลอดแบบใหม่อื่นๆ เช่น B-cell receptor inhibitors, B-cell leukaemia-2/lymphoma-2 inhibitors, หรือ obinutuzumab
มะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรังชนิดลิมโฟไซติก (chronic lymphocytic leukaemia; CLL) เป็นโรคที่เซลล์ลิมโฟไซต์เพิ่มจำนวนผิดปกติที่พบได้บ่อยที่สุดในผู้ใหญ่ และปัจจุบันยังคงรักษาไม่หายขาด เนื่องจากระยะเวลาที่ไม่มีการลุกลามของโรคสั้นลงหลังจากการรักษาสำเร็จในแต่ละครั้ง กลยุทธ์ต่างๆ เช่น การรักษาเพื่อให้โรคสงบคงอยู่ตลอดไป (maintenance therapy) จึงมีความจำเป็นเพื่อปรับปรุงระดับและระยะเวลาของการตอบสนองต่อการรักษาก่อนหน้า โมโนโคลนอลแอนติบอดี ยาปรับภูมิคุ้มกัน และการรักษาแบบมุ่งเป้าเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่มีอยู่สำหรับการรักษาเพื่อให้โรคสงบคงอยู่ตลอดไป (maintenance therapy) ผู้ที่เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรังชนิดลิมโฟไซติก ที่อาการบรรเทาหลังการรักษาก่อนน้านี้อาจเลือกรับการสังเกตอาการโดยแพทย์หรือการรักษาเพื่อให้โรคสงบคงอยู่ตลอดไปเพื่อการตอบสนองที่เข้มข้นขึ้น แม้ว่าจะมีการใช้สารบำบัดบำรุงรักษาเพื่อควบคุมโรคอย่างแพร่หลาย แต่ประโยชน์และผลเสียของการรักษาเหล่านี้ยังคงไม่แน่นอน
เพื่อประเมินผลกระทบและความปลอดภัยของการรักษาเพื่อให้โรคสงบคงอยู่ตลอดไป (maintenance therapy) ประกอบไปด้วย ยากลุ่ม anti-CD20 monoclonal antibody, immunomodulatory drug therapy, anti-CD52 monoclonal antibody, Bruton tyrosine kinase inhibitor และ B-cell lymphoma-2 tyrosine kinase inhibitor สำหรับคนที่เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรังชนิดลิมโฟไซติก
เราทำการค้นหาวรรณกรรมที่ครอบคลุมของการทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุม (randomised controlled trials; RCTs) โดยไม่มีข้อจำกัดด้านภาษาหรือสถานะการตีพิมพ์ เราสืบค้นจาก CENTRAL, MEDLINE, Embase และทะเบียนการทดลอง 3 ฐาน ในเดือนมกราคม 2022 พร้อมด้วยการตรวจเอกสารอ้างอิง การค้นหาการอ้างอิง และติดต่อกับผู้วิจัยเพื่อระบุการศึกษาเพิ่มเติม
เรารวบรวมการศึกษาแบบ RCTs ที่ผู้เข้าร่วมในการศึกษาแบบไปข้างหน้า เราคัดการศึกษาแบบ cluster-randomised trials, cross-over trial designs และ non-randomised studies ออกจาการทบทวน เรารวมการศึกษาที่เปรียบเทียบ การรักษาเพื่อให้โรคสงบคงอยู่ตลอดไป (maintenance therapies) กับยาหลอก/การสังเกต หรือการเปรียบเทียบการรักษาสองวิธีที่เปรียบเทียบกันโดยตรง (head-to-head)
เราใช้ระเบียบวิธีมาตรฐานของ Cochrane เราประเมินความเสี่ยงของการมีอคติในการศึกษาที่นำเข้ามาโดยใช้เครื่องมือ RoB 1 ของ Cochrane สำหรับ RCT เราจัดอันดับความเชื่อมั่นของหลักฐานสำหรับผลลัพธ์ต่อไปนี้โดยใช้แนวทางของ GRADE: การอยู่รอดโดยรวม (overall survival; OS) สุขภาพที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิต (health-related quality of life; HRQoL) เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ระดับ 3 และ 4 (adverse events; AEs) การอยู่รอดโดยปราศจากการลุกลาม (progression-free survival; PFS) การเสียชีวิตที่มาจากการรักษา (treatment-related mortality; TRM) การหยุดการรักษา (treatment discontinuation; TD) และเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ทั้งหมด (AEs)
เราพบการศึกษาแบบ RCTs 11 ฉบับ (ผู้เข้าร่วม 2393 คน) ที่ตรงตามเกณฑ์การคัดเข้า ประกอบไปด้วย การทดลอง 7 ฉบับ ที่เปรียบเทียบ anti-CD20 monoclonal antibodies (mAbs) (rituximab หรือ ofatumumab) ด้วยการสังเกตผู้เข้าร่วม 1679 คน; การทดลอง 3 ฉบับ เปรียบเทียบยากระตุ้นภูมิคุ้มกัน (lenalidomide) กับยาหลอก/การสังเกตในผู้เข้าร่วม 693 คน; และการทดลอง 1 ฉบับ เปรียบเทียบ anti-CD 52 mAbs (alemtuzumab) ด้วยการสังเกตในผู้เข้าร่วม 21 คน ไม่พบการเปรียบเทียบสารยับยั้งโมเลกุลขนาดเล็กชนิดใหม่
ค่ามัธยฐานของอายุผู้เข้าร่วมคือ 54.1 ถึง 71.7 ปี 59.5% เป็นผู้ชาย ประเภทของการรักษานำก่อนหน้านี้ ความรุนแรงของโรค และระยะเริ่มต้นแตกต่างกันไปในแต่ละการศึกษา การทดลอง 5 ฉบับ รวบรวมผู้ป่วยที่มีอาการในระยะเริ่มแรก และการทดลองอีก 3 ฉบับ รวบรวมผู้ป่วยระยะลุกลาม (ระยะ Rai III/IV หรือ ระยะ Binet B/C) การทดลอง 6 ฉบับ รายงานความถี่การเกิดความผิดปกติทางพันธุกรรมที่ระยะเริ่มต้น (69.7% ถึง 80.1%) ค่ามัธยฐานของระยะเวลาการติดตามผลคือ 12.4 ถึง 73 เดือน ความเสี่ยงของการมีอคติในการคัดเลือกในการศึกษาที่นำเข้ามายังไม่ชัดเจน เราประเมินความเสี่ยงของการมีอคติโดยรวมของการมีอคติในการปฏิบัติต่อผู้เข้าร่วมโครงการ (performance bias) และอคติในการประเมินผล (detection bias) ว่ามีความเสี่ยงของการมีอคติต่ำสำหรับผลลัพธ์ที่วัดได้เป็นรูปธรรม (objective outcoms) และมีความเสี่ยงของการมีอคติสูงสำหรับผลลัพธ์การศึกษาแบบนามธรรม (subjective outcomes) ความเสี่ยงโดยรวมของการมีอคติในด้านการติดตามผู้เข้าร่วมโครงการ (attrition bias) อคติในการรายงาน (reporting bias) และอคติอื่นๆ อยู่ในระดับต่ำ
Anti-CD20 monoclonal antibodies (mAbs): การรักษาเพื่อควบคุมให้โรคสงบอยู่ตลอดด้วย rituximab หรือ ofatumumab เทียบกับการสังเกต
การรักษาเพื่อควบคุมให้โรคสงบอยู่ตลอดด้วยยา anti-CD20 mAbs น่าจะส่งผลให้เกิดความแตกต่างเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลยในผลลัพธ์เรื่อง การอยู่รอดโดยรวม ((hazard ratio (HR) 0.94, 95% ช่วงความเชื่อมั่น (CI) 0.73 ถึง 1.20; ผู้เข้าร่วม 1152 คน; การศึกษา 3 ฉบับ; หลักฐานความเชื่อมั่นปานกลาง) และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มการอยู่รอดโดยปราศจากการลุกลามอย่างมีนัยสำคัญ (HR 0.61, 95% CI 0.50 ถึง 0.73; ผู้เข้าร่วม 1255ราย; การศึกษา 5 ฉบับ; หลักฐานความเชื่อมั่นปานกลาง) เมื่อเทียบกับการสังเกตเพียงอย่างเดียว
ยา anti-CD20 mAbs อาจส่งผลให้: เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ระดับ 3 และ 4 เพิ่มขึ้น (อัตราส่วนอัตรา 1.34, 95% CI 1.06 ถึง 1.71; ผู้เข้าร่วม 1284 คน; การศึกษา 5 ฉบับ; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำ); มีความแตกต่างเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลยในเรื่องการเสียชีวิตที่มาจากการรักษา (อัตราส่วนความเสี่ยง 0.82, 95% CI 0.39 ถึง 1.71; ผู้เข้าร่วม 1189 คน; การศึกษา 4 ฉบับ; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำ); ลดลงเล็กน้อยจนไม่มีความแตกต่างเลยในเรื่องการหยุดการรักษา (อัตราส่วนความเสี่ยง 0.93, 95% CI 0.72 ถึง 1.20; ผู้เข้าร่วม 1321 คน; การศึกษา 6 ฉบับ; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำ); และเพิ่มการเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ทั้งหมด (อัตราส่วนความเสี่ยง 1.23, 95% CI 1.03 ถึง 1.47; ผู้เข้าร่วม 1321 คน; การศึกษา 6 ฉบับ; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำ) เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มสังเกตการณ์
การศึกษาแบบ RCT 1 ฉบับ รายงานว่าอาจไม่มีความแตกต่างใน HRQoL ระหว่างการรักษาเพื่อควบคุมให้โรคสงบอยู่ตลอดด้วยยา anti-CD20 mAbs (ofatumumab) และกลุ่มสังเกตการณ์ (ความแตกต่างเฉลี่ย −1.70, 95% CI −8.59 ถึง 5.19; ผู้เข้าร่วม 480 คน; การศึกษา 1 ฉบับ; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำ)
ยากระตุ้นภูมิคุ้มกัน (IMiD): การรักษาเพื่อควบคุมให้โรคสงบอยู่ตลอดด้วยยา lenalidomide เทียบกับยาหลอก/การสังเกต
การรักษาเพื่อควบคุมให้โรคสงบอยู่ตลอดด้วย IMiD ผลลัพธ์ดูเหมือนจะมีความแตกต่างเล็กน้อยถึงไม่มีความแตกต่างเลยในผลลัพธ์เรื่องการอยู่รอดโดยรวม (HR 0.91, 95% ช่วงความเชื่อมั่น (CI) 0.61 ถึง 1.35; ผู้เข้าร่วม 461 คน; การศึกษา 3 ฉบับ; หลักฐานความเชื่อมั่นปานกลาง) และผลลัพธ์มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นในเรื่องการอยู่รอดโดยปราศจากการลุกลาม (HR 0.37, 95% CI 0.19 ถึง 0.73; ผู้เข้าร่วมในการศึกษา 461 ราย, การศึกษา 3 ฉบับ; หลักฐานความเชื่อมั่นปานกลาง) เมื่อเทียบกับยาหลอก/การสังเกต
สำหรับความอันตรายนั้น พบว่า การรักษาเพื่อควบคุมให้โรคสงบอยู่ตลอดด้วย IMiD อาจส่งผลให้มีเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ระดับ 3 และ 4 เพิ่มขึ้น (อัตราส่วนความเสี่ยง 1.82, 95% CI 1.38 ถึง 2.38; ผู้เข้าร่วม 400 คน; การศึกษา 2 ฉบับ; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำ) และอาจส่งผลให้การเสียชีวิตที่มาจากการรักษาเพิ่มขึ้นเล็กน้อย (อัตราส่วนความเสี่ยง 1.22, 95% CI 0.35 ถึง 4.29; ผู้เข้าร่วมในการศึกษา 458 ราย, การศึกษา 3 ฉบับ; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำ) เมื่อเปรียบเทียบกับยาหลอก/การสังเกต หลักฐานสำหรับผลกระทบในเรื่องการหยุดการรักษาเมื่อเปรียบเทียบกับยาหลอกนั้นไม่แน่นอนอย่างมาก (อัตราส่วนความเสี่ยง 0.71, 95% CI 0.47 ถึง 1.05; ผู้เข้าร่วม 400 คน; การศึกษา 2 ฉบับ; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำมาก) การรักษาเพื่อควบคุมให้โรคสงบอยู่ตลอดด้วย IMiD อย่างต่อเนื่องอาจเพิ่มการเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ทั้งหมดเพียงเล็กน้อย (อัตราส่วนอัตรา 1.41, 95% CI 1.28 ถึง 1.54; ผู้เข้าร่วม 458 คน; การศึกษา 3 ฉบับ; หลักฐานความเชื่อมั่นปานกลาง) เมื่อเปรียบเทียบกับยาหลอก/การสังเกต
ไม่มีการศึกษาใดที่ประเมินผลของ HRQoL
Anti-CD52 monoclonal antibodies (mAbs): การรักษาเพื่อควบคุมให้โรคสงบอยู่ตลอดด้วย alemtuzumab เทียบกับการสังเกต
การรักษาเพื่อควบคุมให้โรคสงบอยู่ตลอดด้วย alemtuzumab อาจมีผลเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลยต่อการอยู่รอดโดยปราศจากการลุกลาม แต่หลักฐานมีความไม่แน่นอนอย่างมาก (HR 0.55, 95% CI 0.32 ถึง 0.95; ผู้เข้าร่วม 21 คน; การศึกษา 1 ฉบับ; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำมาก) เราไม่พบการศึกษาใดๆ ที่รายงานผลลัพธ์เป็น การอยู่รอดโดยรวม (OS), สุขภาพที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิต (HRQoL), เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ระดับ 3 และ 4, การเสียชีวิตที่มาจากการรักษา (TRM), การหยุดการรักษา (TD) หรือ เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ทั้งหมด
แปลโดย นายฎลกร จำปาหวาย วันที่ 15 กรฎาคม 2024