ใจความสำคัญ
• อาจมีความแตกต่างเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลยระหว่างการใช้ลูบิพรอสโตนและการได้รับยาหลอก (การรักษาหลอก) ในการบรรลุผลสำเร็จของการรักษาในเด็กที่มีอาการท้องผูกเรื้อรัง นอกจากนี้ เรายังพบว่าลูบิโปรสโตนน่าจะปลอดภัยเท่ากับยาหลอกอีกด้วย
• ความแตกต่างระหว่างพรูคาโลไพรด์ซึ่งเป็นยาระบาย และการได้รับยาหลอก อาจไม่มากนัก ในแง่ของความถี่ในการถ่ายอุจจาระต่อวัน ความสำเร็จของการรักษา และความปลอดภัย
• ไม่ชัดเจนว่าการรักษาอื่น ๆ ที่เราเฝ้าดูนั้นมีประโยชน์หรือไม่ หลักฐานยังคงไม่แน่นอนเนื่องจากจำนวนผู้เข้าร่วมการศึกษามีน้อยมากและมีปัญหาเกี่ยวกับวิธีการรายงานผลการวิจัย
• ในปัจจุบันยังไม่มีคำจำกัดความที่แน่ชัดสำหรับอาการท้องผูกเรื้อรัง เพื่อพัฒนาหลักฐานเพิ่มเติมเกี่ยวกับการรักษาอาการท้องผูกเรื้อรัง นักวิจัยต้องใช้คำจำกัดความเดียวกัน เราสนับสนุนให้ดำเนินการต่อไปเพื่อให้ได้มาซึ่งคำจำกัดความที่ตกลงกันไว้
อาการท้องผูกเรื้อรังคืออะไร
อาการท้องผูกในเด็กเป็นปัญหาที่พบได้บ่อย หากแพทย์ไม่สามารถหาสาเหตุเบื้องต้นของอาการได้ จะเรียกว่าอาการท้องผูกตามภาวะการทำงาน อาการของท้องผูก ได้แก่ ความถี่ของการถ่ายอุจจาระน้อยลง กลั้นอุจจาระไม่ได้หรือถ่ายอุจจาระคล้ายโคลน และปวดท้อง อาการท้องผูกอาจเป็นอาการที่ไม่รุนแรงและตอบสนองต่อการรักษาตามมาตรฐาน เช่น การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหรือยาระบาย อย่างไรก็ตาม อาจมีอาการรุนแรงมากขึ้นหรืออาจเป็นระยะเวลานานขึ้น เราได้กำหนดอาการท้องผูกเรื้อรังว่าเป็นอาการท้องผูกที่คงอยู่แม้จะได้รับการรักษาแบบมาตรฐานแล้วก็ตาม
เราต้องการค้นหาอะไร
เราต้องการค้นหาวิธีการรักษาที่มีประโยชน์และปลอดภัยสำหรับการรักษาเด็ก (อายุระหว่าง 0 ถึง 18 ปี) ที่มีอาการท้องผูกที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาทางการแพทย์มาตรฐาน (ท้องผูกเรื้อรัง) อาการท้องผูกในระดับที่รุนแรงนี้สามารถส่งผลต่อชีวิตของเด็กในทางลบมากมาย เช่น ทำให้เด็กต้องอยู่ห่างจากโรงเรียนหรือกิจกรรมประจำวันอื่นๆ ทำให้เกิดความเจ็บปวด ไม่สบายตัว และความเครียดทั่วไป และอาจต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล ดังนั้นจึงจำเป็นต้องตรวจสอบว่าการบำบัดที่ได้รับการทดสอบแล้วนั้นสามารถช่วยแก้ไขปัญหาได้หรือไม่
เราทำอะไรไปแล้วบ้าง
เราได้พิจารณาการใช้ยา การผ่าตัด หรือการบำบัดใดๆ เพื่อช่วยเหลือเด็กที่มีอาการท้องผูกเรื้อรัง การศึกษาแต่ละครั้งจะเปรียบเทียบการรักษาเฉพาะกับยาหลอก การไม่รักษา หรือการรักษาแบบอื่น เราสนใจว่าการรักษาจะเพิ่มความถี่ของการถ่ายอุจจาระ บรรเทาอาการ หรือทำให้การรักษาประสบความสำเร็จหรือไม่ นอกจากนี้ เราอยากทราบว่าการรักษานั้นปลอดภัยหรือไม่ โดยเราได้ดูว่าการรักษานั้นก่อให้เกิดผลข้างเคียงหรือไม่ เราค้นหาการทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุม (การศึกษาที่ผู้คนถูกสุ่มมอบหมายให้เข้าไปยังกลุ่มการรักษากลุ่มใดกลุ่มหนึ่งจากสองกลุ่มหรือมากกว่า) โดยเปรียบเทียบการบำบัดด้วยยา การผ่าตัด หรือการบำบัดเสริมกับการไม่รักษา ยาหลอก หรือการรักษาแบบอื่นในเด็กที่มีอาการท้องผูกเรื้อรัง
เราค้นพบอะไร
เราพบการศึกษาทั้งหมด 10 ฉบับ ที่ศึกษาในเด็กทั้งหมด 1278 คน อายุเฉลี่ยของผู้เข้าร่วมการศึกษาอยู่ระหว่าง 5 ถึง 10 ปี การศึกษาได้ดำเนินการในอิหร่าน บราซิล โคลอมเบีย สหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย และประเทศในยุโรปหลายประเทศ การศึกษาใช้ระยะเวลาตั้งแต่ 1 เดือนถึง 6 เดือน
การศึกษาได้ทำการเปรียบเทียบดังต่อไปนี้:
• การฉีดโบทอกซ์เทียบกับยาระบาย
• Erythromycin เปรียบเทียบกับยาหลอก
• ลูบิพรอสโตน กับยาหลอก;
• โซเดียมไดโอคทิลซัลโฟซักซิเนตและซอร์บิทอลทางทวารหนักเทียบกับยาระบายโพลีเอทิลีนไกลคอลชนิดรับประทาน
• การบำบัดด้วยการฝึกขับถ่ายเทียบกับการไม่รักษา
• การฉีดโบทอกซ์ด้วยการเคลื่อนที่ของประจุไฟฟ้าเข้าทางทวารหนักเทียบกับการฉีดโบทอกซ์ทั่วไป
• การฉีดโบทอกซ์เทียบกับการผ่าตัดกล้ามเนื้อหูรูดด้านในของทวารหนัก
• พรูคาโลไพรด์เทียบกับยาหลอก
• การกระตุ้นด้วยไฟฟ้าผ่านผิวหนังเทียบกับการกระตุ้นหลอก
• อาหารเมดิเตอร์เรเนียนที่นักโภชนาการกำหนดโดยมีคำแนะนำเป็นลายลักษณ์อักษรเทียบกับคำแนะนำเป็นลายลักษณ์อักษร
ผลลัพธ์หลัก
• อาจมีความแตกต่างเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลยระหว่างลูบิพรอสโตนและยาหลอก ที่ช่วยการรักษาจนสำเร็จ และอาจมีความแตกต่างเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย เกี่ยวกับเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จากการเปรียบเทียบนี้
• ความแตกต่างระหว่างพรูคาโลไพรด์ซึ่งเป็นยาระบาย และการได้รับยาหลอก อาจไม่มากนัก ในแง่ของความถี่ในการถ่ายอุจจาระต่อวัน ความสำเร็จของการรักษา และความปลอดภัย
• เราไม่ทราบว่าการรักษาอื่น ๆ ที่ได้รับการตรวจสอบในการทบทวนวรรณกรรมนี้ปลอดภัยหรือมีประโยชน์มากกว่าการรักษาอื่นหรือไม่
ข้อจำกัดของหลักฐานคืออะไร
หลักฐานมีข้อจำกัดเนื่องจากจำนวนผู้เข้าร่วมในการศึกษาที่รวมอยู่มีจำนวนน้อย และเนื่องจากการศึกษาแต่ละครั้งพิจารณาการเปรียบเทียบที่แตกต่างกัน จึงทำให้หลักฐานไม่แม่นยำ นอกจากนี้ยังมีปัญหาเกี่ยวกับวิธีดำเนินการศึกษาซึ่งนำไปสู่ความกังวลว่าผลการศึกษาอาจมีอคติ
หลักฐานนี้เป็นปัจจุบันแค่ไหน
การทบทวนวรรณกรรมนี้เป็นข้อมูลล่าสุดจนถึงเดือนมิถุนายน 2023
เราได้ระบุหลักฐานความเชื่อมั่นต่ำถึงปานกลางที่แสดงว่าลูบิพรอสโตนชนิดรับประทานอาจส่งผลให้เกิดความแตกต่างเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลยในด้านความสำเร็จของการรักษาและเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์เมื่อเปรียบเทียบกับยาหลอก จากหลักฐานที่มีความเชื่อมั่นปานกลาง พบว่าอาจมีความแตกต่างเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลยระหว่างพรูคาโลไพรด์ชนิดรับประทานกับยาหลอกในด้านความถี่ในการถ่ายอุจจาระ ความสำเร็จของการรักษา หรือเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ สำหรับการเปรียบเทียบอื่น ๆ ทั้งหมด ความเชื่อมั่นของหลักฐานสำหรับผลลัพธ์เบื้องต้นที่กำหนดไว้ล่วงหน้าของเรานั้นต่ำมากเนื่องจากข้อกังวลที่สำคัญเกี่ยวกับข้อจำกัดของการศึกษาและความไม่แม่นยำ ดังนั้นจึงไม่สามารถสรุปผลที่ชัดเจนได้
อาการท้องผูกที่เป็นมานานและไม่หายด้วยวิธีการรักษาอาการท้องผูกแบบทั่วไป เรียกว่า อาการท้องผูกที่รักษายาก การรักษาอาการท้องผูกที่รักษาได้ยากถือเป็นเรื่องท้าทายซึ่งเกี่ยวข้องกับการบำบัดด้วยยาหรือไม่ใช้ยา รวมทั้งวิธีการผ่าตัด อาการท้องผูกที่ไม่ได้รับการแก้ไขอาจส่งผลเสียต่อคุณภาพชีวิต และยังส่งผลต่อระบบสุขภาพอีกด้วย ดังนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างเร่งด่วนในการค้นหาวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย
เพื่อประเมินประสิทธิภาพและความปลอดภัยของการรักษาที่ใช้สำหรับอาการท้องผูกที่รักษายากในเด็ก
เราค้นหาใน CENTRAL, MEDLINE, Embase และทะเบียนการทดลอง 2 แหล่ง จนถึงวันที่ 23 มิถุนายน 2023 นอกจากนี้ เรายังค้นหารายการอ้างอิงของการศึกษาที่รวบรวมมาสำหรับการศึกษาที่เกี่ยวข้องด้วย
เราได้รวมการทดลองแบบสุ่มที่มีการควบคุม (randomised controlled trials; RCT) เปรียบเทียบการรักษาด้วยยา การรักษาที่ไม่ใช่ยา หรือการรักษาด้วยการผ่าตัด กับยาหลอกหรือยาเปรียบเทียบอื่นๆ ในผู้เข้าร่วมที่มีอายุระหว่าง 0 ถึง 18 ปีที่มีอาการท้องผูกในเด็กซึ่งไม่ตอบสนองต่อการบำบัดทางการแพทย์แบบเดิม
เราใช้ระเบียบวิธีมาตรฐานของ Cochrane ผลลัพธ์เบื้องต้นของเราคือการบรรเทาอาการ ความถี่ในการถ่ายอุจจาระ ความสำเร็จของการรักษา และเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ ผลลัพธ์รองคือ ความสม่ำเสมอของอุจจาระ การถ่ายอุจจาระที่เจ็บปวด คุณภาพชีวิต ความถี่ของการกลั้นอุจจาระไม่อยู่ อาการปวดท้อง การเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเนื่องจากไม่สามารถขับถ่ายได้ และการขาดเรียน เราใช้ GRADE เพื่อประเมินความเชื่อมั่นของหลักฐานสำหรับผลลัพธ์หลักแต่ละรายการ
การทบทวนครั้งนี้รวม RCT จำนวน 10 ฉบับที่มีเด็กที่มีอาการท้องผูกเรื้อรังเข้าร่วมจำนวน 1278 คน เราประเมินการศึกษา 1 ฉบับ ว่ามีความเสี่ยงของการมีอคติต่ำในทุกด้าน มีข้อกังวลเรื่องความเสี่ยงของการมีอคติอย่างมากในการศึกษา 6 ฉบับ
การศึกษา 1 ฉบับได้เปรียบเทียบการฉีดโบทูลินัมท็อกซินเอ 160 หน่วย (n = 44) กับยาระบายอุจจาระชนิดรับประทานที่ทำให้อุจจาระนิ่มที่ไม่ได้ระบุชนิด (n = 44) เราไม่แน่ใจอย่างมากว่าการฉีดโบทูลินัมท็อกซินเอจะช่วยเพิ่มความสำเร็จของการรักษาได้หรือไม่ (อัตราส่วนความเสี่ยง (RR) 37.00, ช่วงความเชื่อมั่น 95% (CI) 5.31 ถึง 257.94; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำมาก, ปรับลดระดับความเชื่อมั่นเนื่องจากข้อกังวลอย่างมากเกี่ยวกับความเสี่ยงของการมีอคติและความไม่แม่นยำ) รายงานความถี่ในการถ่ายอุจจาระเฉพาะกลุ่มที่ฉีดโบทูลินัมท็อกซินเอ (ระยะห่างเฉลี่ย 2.6 วัน) การศึกษาไม่ได้รายงานข้อมูลเกี่ยวกับผลลัพธ์เบื้องต้นอื่น ๆ
การศึกษา 1 ฉบับ ได้เปรียบเทียบเอริโทรไมซินเอสโทเลต (n = 6) กับการใช้ยาหลอก (n = 8) ผลลัพธ์เบื้องต้นเดียวที่รายงานคือเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ ซึ่ง ไม่พบในทั้งสองกลุ่ม หลักฐานมีความเชื่อมั่นต่ำมากเนื่องจากมีความกังวลเรื่องความเสี่ยงของการมีอคติและความไม่แม่นยำอย่างมาก
การศึกษา 1 ฉบับได้เปรียบเทียบลูบิพรอสโตนชนิดรับประทานขนาด 12 หรือ 24 ไมโครกรัม (n = 404) 2 ครั้งต่อวัน กับการได้รับยาหลอก (n = 202) เป็นเวลา 12 สัปดาห์ อาจมีความแตกต่างเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลยในเรื่องความสำเร็จของการรักษา (RR 1.29, 95% CI 0.87 ถึง 1.92; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำ) นอกจากนี้ เรายังพบว่าลูบิพรอสโตนอาจทำให้เกิดความแตกต่างเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลยในเรื่องการเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ (RR 1.05, 95% CI 0.91 ถึง 1.21; หลักฐานความเชื่อมั่นปานกลาง) การศึกษาไม่ได้รายงานข้อมูลเกี่ยวกับผลลัพธ์เบื้องต้นอื่น ๆ
การศึกษา 1 ฉบับได้เปรียบเทียบการสวนล้างทวารหนักด้วยโซเดียมไดอคติลซัลโฟซักซิเนตและซอร์บิทอล จำนวน 3 ครั้งต่อสัปดาห์ (n = 51) กับการใช้ยาระบายโพลีเอทิลีนไกลคอล 0.5 กรัม/กก./วัน (n = 51) ในระยะเวลา 52 สัปดาห์ เราไม่แน่ใจอย่างมากว่าการใช้โซเดียมไดอ็อกทิลซัลโฟซักซิเนตทางทวารหนักและการสวนล้างด้วยซอร์บิทอลจะช่วยเพิ่มความสำเร็จของการรักษาได้หรือไม่ (RR 1.33, 95% CI 0.83 ถึง 2.14; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำมาก, ปรับลดระดับลงเนื่องจากข้อกังวลมากเกี่ยวกับความเสี่ยงของการมีอคติและความไม่แม่นยำ) ผลลัพธ์ของความถี่ในการถ่ายอุจจาระต่อสัปดาห์ได้รับการรายงานโดยใช้ linear mixed model การศึกษาไม่ได้รายงานข้อมูลเกี่ยวกับผลลัพธ์เบื้องต้นอื่น ๆ
การศึกษา 1 ฉบับ ได้เปรียบเทียบการฝึกขับถ่าย (n = 12) กับการไม่แทรกแซง (n = 12) เราไม่แน่ใจมากว่าการบำบัดด้วยการฝึกขับถ่ายจะช่วยการบรรเทาอาการได้หรือไม่ (RR 2.50, 95% CI 1.08 ถึง 5.79; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำมาก, ปรับลดระดับเนื่องจากข้อกังวลอย่างจมากเกี่ยวกับความเสี่ยงของอคติและความไม่แม่นยำ) การศึกษาไม่ได้รายงานข้อมูลเกี่ยวกับผลลัพธ์เบื้องต้นอื่น ๆ
การศึกษา 1 ฉบับ ได้เปรียบเทียบการฉีดโบทูลินัมท็อกซินเอด้วยการเคลื่อนที่ของประจุไฟฟ้าเข้าทางทวารหนักเป็นเวลา 20 นาที โดยใช้ความถี่ 2800 เฮิรตซ์ และใช้โบทูลินัมท็อกซินเอขนาด 10 หน่วยสากล/กก. (n = 30) กับการฉีดโบทูลินัมท็อกซินเอ 10 หน่วยสากล/กก. (n = 30) เราไม่แน่ใจอย่างมากว่าการฉีดโบทูลินัมท็อกซินเอเข้าทางทวารหนักด้วยการเคลื่อนที่ของประจุไฟฟ้าจะช่วยบรรเทาอาการได้หรือไม่ (RR 0.96, ช่วง CI 95% 0.76 ถึง 1.22; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำมาก) หรือจะเพิ่มความถี่ในการขับถ่ายอุจจาระหรือไม่ (ความแตกต่างเฉลี่ย (MD) 0.00, ช่วง CI 95% −1.87 ถึง 1.87; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำมาก) เรายังไม่แน่ใจอย่างมากว่าการฉีดโบทูลินัมท็อกซินเอเข้าทางทวารหนักโดยการเคลื่อนที่ของประจุไฟฟ้าจะมีความปลอดภัยหรือไม่ (RR 0.20, 95% CI 0.01 ถึง 4.00; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำมาก) หลักฐานสำหรับผลลัพธ์เหล่านี้มีความเชื่อมั่นต่ำมากเนื่องจากความกังวลอย่างมากเกี่ยวกับความเสี่ยงของการมีอคติและความไม่แม่นยำ การศึกษาไม่ได้รายงานข้อมูลความสำเร็จของการรักษา
การศึกษา 1 ฉบับ ได้เปรียบเทียบการฉีดโบทูลินัมท็อกซินเอ 60 หน่วย (n = 21) กับการผ่าตัดกล้ามเนื้อหูรูดด้านในของทวารหนัก (n = 21) เราไม่แน่ใจมากว่าการฉีดโบทูลินัมท็อกซินเอจะช่วยเพิ่มความสำเร็จของการรักษาได้หรือไม่ (RR 1.00, 95% CI 0.75 ถึง 1.34; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำมาก) ไม่มีการบันทึกเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ การศึกษาไม่ได้รายงานข้อมูลเกี่ยวกับผลลัพธ์เบื้องต้นอื่น ๆ
การศึกษา 1 ฉบับ ได้เปรียบเทียบ Prucalopride 0.04 มก./กก. ชนิดรับประทาน(n = 107) 1 ครั้งต่อวัน กับการได้รับยาหลอก (n = 108) เป็นเวลา 8 สัปดาห์ การให้พรูคาโลไพรด์ชนิดรับประทานอาจทำให้ความถี่ในการถ่ายอุจจาระแตกต่างเล็กน้อยหรือไม่มีเลย (MD 0.50, 95% CI −0.06 ถึง 1.06; หลักฐานความเชื่อมั่นปานกลาง); ความสำเร็จของการรักษา (RR 0.96, 95% CI 0.53 ถึง 1.72; หลักฐานความเชื่อมั่นปานกลาง); และเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ (RR 1.15, 95% CI 0.94 ถึง 1.39; หลักฐานความเชื่อมั่นปานกลาง) การศึกษาไม่ได้รายงานข้อมูลเกี่ยวกับการบรรเทาอาการ
การศึกษา 1 ฉบับ ได้เปรียบเทียบการกระตุ้นด้วยไฟฟ้าผ่านผิวหนังกับการกระตุ้นหลอก และการศึกษาอีก 1 ฉบับได้เปรียบเทียบการรับประทานอาหารเมดิเตอร์เรเนียนที่นักโภชนาการกำหนดกับคำแนะนำที่เป็นลายลักษณ์อักษรกับคำแนะนำที่เป็นลายลักษณ์อักษรอย่างเดียว การศึกษาเหล่านี้ไม่ได้รายงานผลลัพธ์เบื้องต้นที่กำหนดไว้ล่วงหน้าของเรา
ผู้แปล แพทย์หญิงชุติมา ชุณหะวิจิตร วันที่ 27 สิงหาคม 2024