ใจความสำคัญ
– เราพบหลักฐานที่ไม่แน่นอนอย่างมากเกี่ยวกับการช่วยลดอาการ เพิ่มการทำงาน และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นหลังการรักษาด้วยการฉีดคอร์ติโคสเตียรอยด์หรือการผ่าตัดรักษาโรค carpal tunnel syndrome ซึ่งเราไม่สามารถสรุปผลได้
– เราไม่สามารถประเมินความแตกต่างในผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ได้ แม้ว่าผลข้างเคียงที่ร้ายแรงจะเกิดขึ้นไม่บ่อยนักก็ตาม
– การศึกษาไฟฟ้าของการทำงานของเส้นประสาทพบว่าอาจดีขึ้นเล็กน้อยหลังการผ่าตัดมากกว่าการฉีดคอร์ติโคสเตียรอยด์ เมื่อวัดที่การติดตามผล (การติดตามผล) เป็นเวลา 3 เดือน
Carpal tunnel syndrome คืออะไร
Carpal tunnel syndrome เป็นโรคที่พบได้บ่อยทั่วโลก อาการจะเกิดขึ้นเมื่อเส้นประสาทมีเดียนในข้อมือเกิดการ “ระคายเคือง” ซึ่งจะทำให้เกิดอาการปวด เสียวซ่า ชา และบางครั้งอาจอ่อนแรงหรือสูญเสียการทำงาน โดยเฉพาะที่มือและนิ้ว มันส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนและมีต้นทุนทางการเงินที่สำคัญต่อระบบสุขภาพ
โรค carpal tunnel รักษาอย่างไร
Corticosteroids เป็นยาที่ช่วยลดการอักเสบและบวม การฉีดคอร์ติโคสเตียรอยด์เข้าไปใน carpal tunnel (ช่องทางแคบๆ ในข้อมือที่ล้อมรอบด้วยกระดูกและเอ็นที่ด้านฝ่ามือ) มักใช้เพื่อรักษาอาการที่ไม่รุนแรงหรือปานกลาง แม้ว่าการฉีดยาเหล่านี้จะมีราคาถูกกว่าการผ่าตัดมาก แต่ประสิทธิภาพและระยะเวลาของผลยังคงเป็นที่ถกเถียงกัน โดยทั่วไปการผ่าตัดเป็นขั้นตอนง่ายๆ และรวดเร็วที่ทำโดยใช้เพียงยาชาเฉพาะที่ (ทำให้ชาเฉพาะบริเวณข้อมือ)
เราต้องการทำอะไร
เราต้องการเปรียบเทียบประโยชน์ของการฉีดคอร์ติโคสเตียรอยด์เฉพาะที่เข้าไปใน carpal tunnel กับประโยชน์ของการผ่าตัด
เราทำอะไรไปแล้วบ้าง
เราค้นหาการศึกษาที่ประเมินผลของการฉีดคอร์ติโคสเตียรอยด์ต่ออาการและการทำงานของมือ และช่วยเพิ่มการทดสอบไฟฟ้าที่ดีขึ้นสำหรับเส้นประสาทที่เสียหาย (เรียกว่า การศึกษาการนำสัญญาณประสาท) เรายังพิจารณาคุณภาพชีวิตและผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์นานถึง 12 เดือนอีกด้วย
เราค้นพบอะไร
เราพบการศึกษา 7 ฉบับ ที่เกี่ยวข้องกับ 'มือ' จำนวน 569 มือ ที่มีอาการ carpal tunnel syndrome ระดับเบาถึงปานกลาง การศึกษาแบ่งผู้เข้าร่วมออกเป็น 2 กลุ่มโดยการสุ่ม กลุ่มหนึ่งได้รับการฉีดคอร์ติโคสเตียรอยด์ 1 ครั้ง และอีกกลุ่มหนึ่งได้รับการผ่าตัด
ในการศึกษาทุกครั้ง อาการทั้งหมดดีขึ้นทั้งในกลุ่มผ่าตัดและกลุ่มที่ได้รับคอร์ติโคสเตียรอยด์หลังการรักษา หลักฐานที่เปรียบเทียบการฉีดคอร์ติโคสเตียรอยด์กับการผ่าตัดยังไม่ชัดเจนพอที่จะสรุปความแตกต่างในอาการหรือการทำงาน คุณภาพชีวิต หรือผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ได้ จากการศึกษาทางไฟฟ้า การผ่าตัดอาจช่วยเพิ่มการนำสัญญาณประสาทได้ใน 3 เดือนซึ่งดีกว่าการฉีดคอร์ติโคสเตียรอยด์ แต่หลักฐานนี้ยังคงไม่ชัดเจนเช่นกัน ผลข้างเคียงที่ร้ายแรงเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก แต่หลักฐานยังคงไม่ชัดเจนเกินกว่าที่จะสรุปผลได้
อะไรคือข้อจำกัดของหลักฐาน
ในการศึกษาทั้งหมด ผู้เข้าร่วมและผู้ให้บริการดูแลสุขภาพตระหนักถึงการรักษาและความคาดหวังเกี่ยวกับผลของการผ่าตัดหรือการฉีดคอร์ติโคสเตียรอยด์เฉพาะที่อาจส่งผลต่อการตัดสินว่าการรักษามีประสิทธิผลเพียงใด ผลลัพธ์แตกต่างกันอย่างมากในแต่ละการศึกษา อาจเป็นเพราะการศึกษามีขนาดเล็ก และขนาดยาและชนิดของคอร์ติโคสเตียรอยด์ก็แตกต่างกัน รวมถึงวิธีการวัดปริมาณที่แตกต่างกันด้วย
การทบทวนวรรณกรรมนี้เป็นปัจจุบันแค่ไหน
เราค้นหาการศึกษาที่ได้รับการตีพิมพ์จนถึง 26 พฤษภาคม 2022
หลักฐานที่เปรียบเทียบ LCI กับการผ่าตัดรักษา CTS ไม่ว่าจะเป็นในระยะสั้นหรือการติดตามผลนานถึง 12 เดือน ยังไม่ชัดเจนเกินกว่าที่จะสรุปผลได้อย่างน่าเชื่อถือ
Carpal tunnel syndrome (CTS) เป็นกลุ่มอาการทางคลินิกที่พบได้บ่อยมาก โดยมีอาการและอาการแสดงของการระคายเคืองของ median nurve ที่ carpal tunnel ที่ข้อมือ ค่าใช้จ่ายทางตรงและทางอ้อมของการรักษา CTS นั้นสูงมาก โดยมีค่าใช้จ่ายประมาณ 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐสำหรับการผ่าตัดรักษา CTS ในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น การฉีด corticosteroid เฉพาะที่ถูกนำมาใช้เป็นการรักษาแบบไม่ผ่าตัดสำหรับ CTS มาหลายปีแล้ว แต่ประสิทธิผลของมันยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่
เพื่อประเมินประโยชน์และอันตรายของคอร์ติโคสเตียรอยด์ที่ฉีดเข้าหรือรอบ ๆ carpal tunnel สำหรับการรักษาโรค carpal tunnel syndrome (CTS) เมื่อเปรียบเทียบกับการผ่าตัด
เราใช้วิธีการค้นหาแบบมาตรฐานและครอบคลุมตามวิธีการของ Cochrane เราค้นหาใน Cochrane Neuromuscular Specialised Register, CENTRAL, MEDLINE, Embase, CINAHL, ClinicalTrials.gov และ WHO ICTRP การค้นหาล่าสุดคือวันที่ 26 พฤษภาคม 2022
เราได้รวมการทดลองแบบสุ่มที่มีการควบคุม (randomised controlled trials; RCT) หรือการทดลองแบบกึ่งสุ่มในผู้ใหญ่ที่เป็น CTS ที่มีกลุ่มเปรียบเทียบอย่างน้อย 1 กลุ่มของการฉีดคอร์ติโคสเตียรอยด์เฉพาะที่ (LCI) ที่ข้อมือและกลุ่มหนึ่งของกลุ่มของการผ่าตัดใดๆ ก็ได้
เราใช้วิธีตามมาตรฐานของ Cochrane ผลลัพธ์หลักของเราคือ 1. อาการดีขึ้นเมื่อติดตามผลนาน 3 เดือน ผลลัพธ์รองของเราคือ 2. เพิ่มการทำงานของมือ, 3. มีอาการดีขึ้นเมื่อติดตามมากกว่า 3 เดือน, 4. ทำให้พารามิเตอร์ทางประสาทสรีรวิทยาดีขึ้น, 5. การปรับปรุงพารามิเตอร์ทางภาพ, 6. คุณภาพชีวิตดีขึ้น,และ 7. เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ เราใช้ GRADE เพื่อประเมินความเชื่อมั่นของหลักฐานสำหรับแต่ละผลลัพธ์
เราได้รวบรวมการศึกษา 7 ฉบับ ที่เกี่ยวข้องกับ 'มือ' จำนวน 569 มือ (แม้ว่าการศึกษา 2 ฉบับ จะมีข้อมูลที่ใช้ไม่ได้สำหรับการวิเคราะห์เชิงปริมาณก็ตาม) การศึกษาทั้งหมดใช้ LCI ครั้งเดียวเป็นตัวเปรียบเทียบ โดยใช้คอร์ติโคสเตียรอยด์หลายประเภทและหลายขนาด ในการศึกษาทุกครั้ง ทั้งในกลุ่มการผ่าตัดและกลุ่ม LCI ผลลัพธ์หลักและรองของเราทั้งหมดแสดงให้เห็นถึงอาการดีขึ้นตั้งแต่ก่อนจนถึงหลังการรักษา อย่างไรก็ตาม หลักฐานจากการวิเคราะห์ร่วมกันนั้นไม่แน่นอนเกินไปสำหรับเราในการสรุปผลที่เชื่อถือได้สำหรับการเปรียบเทียบการรักษาด้วยการผ่าตัดกับ LCI ในส่วนผลลัพธ์หลักของเราในการบรรเทาอาการที่การติดตามผลสูงสุด 3 เดือน (ค่าความแตกต่างของค่าเฉลี่ยมาตรฐาน (SMD) 0.63, ช่วงความเชื่อมั่น 95% (CI) −0.61 ถึง 1.88; I 2 = 95%; การทดลอง 5 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 305 คน; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำมาก)
ผลที่ได้เกี่ยวกับการวัดผลลัพธ์รองของการบรรเทาอาการที่ติดตามผลนานกว่า 3 เดือน (SMD 0.94, 95% CI −0.31 ถึง 2.19; I 2 = 93%; การทดลอง 4 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 235 คน) ช่วยเพิ่มการทำงานที่ติดตามผลนานสูงสุด 3 เดือน (SMD −0.11, 95% CI −0.94 ถึง 0.72; I 2 = 84%; การทดลอง 3 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 215 คน) และการปรับปรุงการทำงานที่ติดตามผลนานกว่า 3 เดือน (SMD 0.19, 95% CI −1.22 ถึง 1.59; I 2 = 93%; การทดลอง 3 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 185 คน) ยังไม่ชัดเจนเช่นกัน (หลักฐานมีความเชื่อมั่นต่ำมาก) และไม่แสดงข้อได้เปรียบที่ชัดเจนสำหรับการผ่าตัดหรือ LCI การผ่าตัดอาจช่วยปรับปรุงการทำงานของระบบประสาท (ความล่าช้าของระบบประสาทส่วนปลายและส่วนปลายของกล้ามเนื้อ) มากกว่า LCI (ค่าความแตกต่างเฉลี่ย (MD) 0.87 มิลลิวินาที, 95% CI 0.32 ถึง 1.42; I 2 = 72%; การทดลอง 3 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 162 ราย; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำ) หลักฐานสำหรับคุณภาพชีวิตและเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ยังไม่แน่นอนเช่นกัน; คุณภาพชีวิต (EuroQol-5D-3L) อาจดีขึ้นเล็กน้อยหลัง LCI เมื่อเทียบกับหลังการผ่าตัด (ความแตกต่างอาจไม่สำคัญทางคลินิก) (MD 0.07, 95% CI 0.02 ถึง 0.12; การทดลอง 1 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 38 คน; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำมาก) และอาจมีเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์น้อยกว่าใน LCI เมื่อเทียบกับการผ่าตัด (อัตราส่วนความเสี่ยง (RR) 0.34, 95% CI 0.04 ถึง 3.26; การทดลอง 3 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 112 คน; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำมาก)
ผู้แปล แพทย์หญิงชุติมา ชุณหะวิจิตร วันที่ 3 กันยายน 2024